สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์ นิยาย บท 564

“หิ้วนางออกมา”

อินชิงเสวียนนั่งลงบนเก้าอี้ข้างๆ

ผู้คุมลากลู่จิ้งเสียนออกไปทันที และโยนนางลงไปที่พื้นอย่างแรง

เมื่อเห็นมือที่บวมเป็นซาลาเปาของนาง อินชิงเสวียนก็พูดอย่างเย็นชา “ลู่จิ้งเสียน ตอนที่เจ้าแทงลูกชายของข้า เจ้าเคยคิดหรือไม่ว่าจะมีวันนี้”

ลู่จิ้งเสียนเงยหน้าขึ้น มองอินชิงเสวียนด้วยตัวอันสั่นเทา นางอ้าปากพะงาบๆ ราวกับว่าต้องการพูด แต่จู่ๆ ก็มีเลือดไหลออกมาจากมุมปาก

แต่แววตากลับไม่สำนึกผิด ยังคงจ้องมองอินชิงเสวียนด้วยสายตาอำมหิตราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ

“ดูท่าว่า เจ้ายังไม่รู้ว่าตัวเองผิดตรงไหน”

อินชิงเสวียนโน้มตัวไปข้างหน้าเล็กน้อย แล้วพูดเสียงราบเรียบ “ตอนที่ไทเฮายังมีชีวิตอยู่ ข้าไม่กลัวเจ้า นับประสาอะไรกับตอนที่นางตายไปแล้ว เหตุผลที่ข้าไม่ไปหาเรื่องเจ้า ก็เพราะข้าไม่เห็นเจ้าในสายตาคนอย่างเจ้า ไม่ควรค่าให้ข้านึกถึงด้วยซ้ำ”

ทันใดนั้นลู่จิ้งเสียนก็ลืมตาขึ้นอย่างเดือดดาล ส่งเสียงฟู่ราวกับงูก็ไม่ปาน

อินชิงเสวียนมองดูนางอย่างเหยียดหยาม

“อยากด่า? แต่พูดไม่ได้? งั้นก็เก็บแรงไว้ แล้วฟังข้าพูด”

“ตอนที่ข้ามาที่นี่ ข้าไม่เคยคิดจะทำให้คนอื่นลำบากเลย ถ้าเจ้ายอมอยู่อย่างสงบ ตอนนี้พวกเราก็สบายแล้ว น่าเสียดายที่เจ้ายังมีจิตใจชั่วร้าย คิดร้ายกับข้ามาตลอด ถ้าแค่ทำร้ายข้าก็ไม่เป็นไร แต่เจ้ากลับลงมืออย่างโหดเหี้ยมกับเด็กไร้เดียงสา กรรมใดใครก่อ กรรมนั้นย่อมคืนสนอง”

สองประโยคสุดท้ายที่อินชิงเสวียนพูดนั้นแผ่วต่ำเยียบเย็น ประหนึ่งน้ำแข็งที่เสีดแทงกระดูก ทำให้รู้สึกประหวั่นพรั่นพรึง ลู่จิ้งเสียนอดไม่ได้ที่จะตัวสั่น

นางยังคงมองอินชิงเสวียนอย่างเกลียดชัง

ไยต้องพูดจาสูงส่งเพียงนั้น สตรีทุกคนในวังหลัง ไม่มีผู้ใดที่ไม่เกลียดชังกัน ถ้าอินชิงเสวียนไม่เข้าวัง เรื่องทั้งหมดก็จะไม่เกิดขึ้น

ทั้งหมดเป็นความผิดของนาง!

เป็นนางที่ขโมยความโปรดปรานของฝ่าบาทไป พูดใส่ร้ายไทเฮาของนาง หากไม่มีนาง ญาติผู้พี่คงไม่ตาย ทั้งหมดล้วนเป็นความผิด ต้องโทษนาง!

ลู่จิ้งเสียนเสียใจที่ตอนนั้นตัวเองใจอ่อน ไม่ได้แทงเจ้าเด็กเปรตนั่นให้ตาย ตอนนี้ไม่ว่าจะพูดอะไรก็สายเกินไปแล้ว นางกลายเป็นนักโทษ ปล่อยให้คนฆ่าแกงได้ตามใจชอบ

เมื่อเห็นอินชิงเสวียนสวมผ้าแพรไหมชั้นดี ข้างกายมีผู้คุมและขุนทีนางกำนัลคอยรับใช้ นางก็ยิ่งรู้สึกอิจฉาจนแทบคลั่ง นางคลานขึ้นอย่างสั่นเทา พุ่งทะยานไปหาอินชิงเสวียน

ถึงกัดเนื้อของนางหลุดมาได้สักชิ้น ก็นับว่าชีวิตไม่สูญเปล่าแล้ว

อย่างไรก็ตาม ด้วยผู้คนจำนวนมากที่นี่ ลู่จิ้งเสียนจะไปถึงตัวอินชิงเสวียนได้อย่างไร ผู้คุมเตะนางออกไปทันที

ดูเหมือนว่าลู่จิ้งเสียนจะกลายเป็นปีศาจร้าย นางกัดฟันลุกขึ้นมาอีกครั้ง เลือดไหลออกมาจากมุมปากไม่หยุด ใบหน้าบิดเบี้ยวไปหมด ทำให้นางดูน่าเกลียดน่ากลัว

ลิ้นของนางถูกกัดขาด ไม่สามารถพูดได้อีกต่อไป ทำได้เพียงส่งเสียงฟู่ราวกับสัตว์ร้ายเท่านั้น

เสี่ยวอานจื่อเตะลู่จิ้งเสียนไปที่ประตูห้องขังอีกครั้ง

ลู่จิ้งเสียนเจ็บปวดมากจนกระอักเลือดออกมาอีก แต่นางยังคงพยายามลุกขึ้น โผเข้าใส่อินชิงเสวียนประหนึ่งหมาบ้า

เมื่อมองดูใบหน้าที่บิดเบี้ยวของนาง อินชิงเสวียนก็ส่ายศีรษะ

คนผู้นี้คลุ้มคลั่งจนบ้าไปแล้ว หมดปัญญาแล้ว

เดิมทีอยากจะลงโทษนางสักหน่อย และไว้ชีวิตนาง ในเมื่อนางไม่กลับตัวกลับใจ ก็อย่าโทษที่นางโหดร้าย

อินชิงเสวียนลุกขึ้นจากเก้าอี้ แล้วพูดอย่างเรียบๆ “ส่งเสียนผินไปตามทางเถอะ ไทเฮานางคงรอแย่แล้ว”

ทันใดนั้นใบหน้าของลู่จิ้งเสียนก็เปลี่ยนเป็นสีเขียวคล้ำ นางแยกเขี้ยวยิงฟัง ต่อต้านอย่างสิ้นหวัง ปล่อยเสียงร้องที่ดูเหมือนสัตว์ป่าออกมา

แววตาของอินชิงเสวียนเฉยเมย ท่าทางเย็นชา

“ลงมือ”

ผู้คุมดึงแส้ออกจากเอวเบาๆ และรัดคอของลู่จิ้งเสียน

ทันใดนั้นดวงตาของลู่จิ้งเสียนก็ถลนออกมา ท่าทางเจ็บปวดรวดร้าวเหลือแสน

เสี่ยวอานจื่อเกรงว่าจะทำให้อินชิงเสวียนตกใจ จึงรีบพูดว่า “พระสนม เรากลับกันเถอะ เรื่องนี้ไม่มีอะไรน่าดูเลย”

อินชิงเสวียนพยักหน้า นางไม่ใช่คนวิปริตแบบนั้น

ขณะที่กำลังจะออกไป จู่ๆ ผู้คุมจากฝั่งตะวันตกก็เข้ามา

เขากระซิบ “พระสนม มีคนอยากเจอท่าน”

อินชิงเสวียนถามด้วยความประหลาดใจ “ใคร”

เสียงของผู้คุมแผ่วเบาเล็กน้อย

“ทำไมเจ้าถึงพูดภาษาของพวกเขาได้”

หวังซุ่นกระซิบ “ไม่ขอปิดบัง ข้าน้อยมาจากแคว้นเดียวกับพวกเขา หากพระสนมต้องการผู้แปลภาษา ข้าน้อยก็ยินดีที่จะแปลให้ แค่หวังว่าพระสนมจะใจดี ให้โอกาสข้าน้อยมีชีวิตรอด”

ดวงตาของอินชิงเสวียนกวาดไปทั่วร่างของหวังซุ่น รูปร่างเตี้ยแบบเดียวกันนั้นคล้ายคลึงกับของคนญี่ปุ่นเหล่านั้นมาก

ดูเหมือนว่าการไว้ชีวิตของเขานั้นมีประโยชน์จริงๆ

“งั้นเจ้าไปถามว่า ทำไมพวกเขาถึงมายุ่งกับข้า”

หวังซุ่นตอบรับทันที

“พระสนมไม่ต้องห่วง ข้าน้อยรับรองว่าจะหาเจตนาของพวกเขาให้ได้ เพียงแต่ข้าน้อยไม่สามารถเปิดเผยฐานะได้ พระสนมโปรดหาเสื้อคลุมและหน้ากากให้ข้าน้อยด้วย”

“ไม่มีปัญหา”

อินชิงเสวียนโบกมือให้เสี่ยวอานจื่อ ซึ่งเขาก็ออกไปทันที

อินชิงเสวียนยืนคิดอยู่นอกห้องขังครู่หนึ่ง และรู้สึกสงสัยอีกครั้ง

หวังซุ่นคนนี้ก็เป็นคนเจ้าเล่ห์เช่นกัน หากเขาและคนผู้นั้นร่วมมือกันหลอกลวงนาง นางก็ฟังไม่เข้าใจ ถึงอย่างไรก็ต้องหาคนที่เข้าใจภาษาญี่ปุ่นได้จริงๆ

อินชิงเสวียนเดินไปมา แล้วจู่ๆ ก็นึกถึงเย่จิ่งหลาน แต่นางไม่รู้ว่าเขาเคยเรียนภาษาญี่ปุ่นมาก่อนหรือไม่

“หวังซุ่น ข้ามีเรื่องสำคัญอีกอย่างที่ต้องทำ เจ้ารอที่นี่เดี๋ยว แล้วข้าจะกลับมา”

หวังซุ่นพูดด้วยความเคารพ “น้อมรับคำสั่งพ่ะย่ะค่ะ”

อินชิงเสวียนพยักหน้า แล้วเดินออกจากคุกหลวงอย่างรวดเร็ว

เมื่อมาถึงประตู จู่ๆ ก็นึกถึงฟางรั่ว จึงถามคนข้างๆ ว่า “สายลับหญิงจากเจียงวูคนอื่นๆ ตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง”

ผู้คุมกล่าวว่า “ยังคุมขังอยู่ในคุก รอคำสั่งจากพระสนมและฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ”

“อืม ดูแลให้ดี ข้ายังมีแผนอื่น”

หลังจากที่อินชิงเสวียนพูดจบ นางก็ก้าวอาดๆ ออกจากคุกหลวง

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์