“อาอวี้ ท่านเป็นอะไรไป”
อินชิงเสวียนรีบไปที่น้ำพุวิญญาณ หน้าผากของเย่จิ่งอวี้มีเหงื่อผุดพรายเป็นเม็ดๆ
“เหมือนฝันเลย”
เย่จิ่งอวี้คุกเข่าลง ล้างหน้าด้วยน้ำพุวิญญาณ แล้วจึงรู้สึกสดชื่นในทันที
“ข้าไม่เป็นไร ไม่ต้องห่วง”
เขาหันไปหาอินชิงเสวียน เผยรอยยิ้มอันสดใส
อินชิงเสวียนนั่งลงข้างๆ เขา มองดูเขาแล้วถามว่า “ความฝันอะไรหรือ”
เย่จิ่งอวี้พูดอย่างสบายๆ “ฝันว่าข้าถูกจับไว้ในวงกลมสีแดง อาจเป็นเพราะช่วงนี้ต่อสู้กับคนตงหลิวตลอด เรื่องมีความคิดฟุ้งซ่านแล้ว”
อินชิงเสวียนตอบอ้อ และถามว่า “คราวนี้ไม่รู้สึกอะไรอีกแล้วหรือ”
เย่จิ่งอวี้หยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดหน้า พูดด้วยความผิดหวังเล็กน้อย “ไม่มี บางทีความทรงจำเดียวที่ข้าลืม คือความทรงจำที่เกี่ยวกับเจ้าสำนักเซี่ยว”
อินชิงเสวียนปลอบใจเขา “ถ้าอย่างนั้นก็อย่าคิดมาก ถึงอย่างไรเมื่อรถถึงหน้าภูเขาแล้วย่อมมีทางวิ่งต่อ เรือถึงสะพานย่อมมีทางไป”
“อื้ม คิดมากไปก็ไม่มีประโยชน์ ไม่สู้ใช้เวลาว่างมาพักผ่อนให้เต็มที่ดีกว่า”
เย่จิ่งอวี้กระตุกมุมปากยิ้ม จากนั้นเอื้อมมือออกไปกอดอินชิงเสวียน
เมื่อคิดถึงเหตุการณ์พัวพันเมื่อครู่ อินชิงเสวียนก็ดิ้นรนทันที
“ท่านปล่อยข้านะ”
เย่จิ่งอวี้หลับตากล่าวด้วยรอยยิ้ม “คราวนี้จะไม่ทำอะไรทั้งนั้น แค่นอน”
ในไม่ช้า อินชิงเสวียนก็ค้นพบว่า คำพูดของบุรุษนั้นเป็นเรื่องโกหกจริงๆ ขณะที่นางกำลังสะลึมสะลือ ก็อดไม่ได้ที่จะพึมพำขึ้นว่า
“จะไม่เชื่อคนโกหกเช่นท่านอีกแล้ว”
เย่จิ่งอวี้หัวเราะเบาๆ รั้งนางเข้าสู่อ้อมแขน พูดด้วยน้ำเสียงแหบห้าว “เจ้าน่ะสิคนโกหกตัวน้อย เป็นเจ้าที่หลอกข้าก่อน หนี้นี้ถึงอย่างไรก็ต้องชำระสะสาง”
อินชิงเสวียนพูดอะไรบางอย่างด้วยเสียงแผ่วต่ำ และนางก็หลับลึกไป
เมื่อลืมตาก็เป็นเวลาเกือบเที่ยงของวันรุ่งขึ้น
แม้ว่าจะไม่มีพระอาทิตย์ขึ้นหรือพระจันทร์ตกในมิติ แต่ก็มีนาฬิกาขนาดใหญ่แขวนอยู่เหนือร้านค้าสะสมคะแนน
หลังจากเห็นเวลาอย่างชัดเจน อินชิงเสวียนก็ลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว เย่จิ่งอวี้กำลังนั่งสมาธิอยู่ริมน้ำพุวิญญาณแล้ว
นางทำผมง่ายๆ เดินไปที่ข้างน้ำพุวิญญาณ เย่จิ่งอวี้ก็ลืมตาพอดี
เรียวตาหงส์ลูกตาดำตัดกับตาขาวชัดเจนคู่หนึ่ง เหมือนจะแจ่มชัดกว่าเดิม สีหน้าก็ดูดีขึ้นมาก จากใบหน้าของเขา ดูเหมือนจะไม่มีร่องรอยของความเหนื่อยล้าเลย
“ออกไปเดินเล่นก็ไม่เรียกข้า จะใจร้ายเกินไปแล้ว”
อินชิงเสวียนไอแห้งๆ แล้วพูดว่า “ตอนนี้สถานการณ์ตึงเครียด ข้าเกรงว่าพาเจ้าออกไปจะไม่ปลอดภัย ถ้าเจ้าอยากออกไปเดินเล่น ข้าจะพาเจ้าไปเอง”
เมื่อนั้นสีหน้าของเย่จิ่งหลานก็สดชื่นขึ้น
“งั้นก็พาไปเที่ยวริมทะเลหน่อย ข้ายังไม่เคยเห็นทะเลเลย”
อินชิงเสวียนก็ไม่เคยเห็นทะเล สองวันนี้หลังจากต่อสู้เสร็จก็กลับสำนักของใครของมัน ยังไม่มีเวลาไปดูที่ชายหาดเลย
จากนั้นก็พยักหน้าและพูดว่า “ได้สิ เรียกอวิ๋นฉ่ายกับจังอวี้จิ่นมาเถอะ เราจะไปเล่นที่ชายหาดกัน”
จะได้ถือโอกาสดูด้วยว่า จะสามารถหาวิธีจัดการกับผีแคระตงหลิวเหล่านี้ได้อย่างไรบ้าง
เย่จิ่งหลานพูดอย่างมีความสุข “ได้ เจ้ารอก่อน”
สิบห้านาทีต่อมา ทุกคนก็มาถึงชายหาด เมื่อมองดูทะเลอันกว้างใหญ่ เย่จิ่งหลานก็อดไม่ได้ที่จะตะโกนอย่างตื่นเต้นหลายครั้ง ไป๋เสวี่ยที่ถูกเก็บไว้ในมิติเป็นเวลาหลายวันก็ถูกปล่อยตัว มองไปยังคลื่นน้ำทะเลที่ซัดสาด เห่าอย่างมีความสุข
อวิ๋นฉ่ายและจังอวี้จิ่นก็มีความสุขมากเช่นกัน หากไม่ได้ติดตามพระสนม พวกนางจะเห็นทิวทัศน์อันงดงามเช่นนี้ได้อย่างไร
หลายคนวิ่งไปมาบนชายหาด มีเพียงเย่จิ่งอวี้เท่านั้นที่หรี่ตาลงและมองทะเลด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
เขารู้สึกถึงเจตนาฆ่าที่ปรากฏอยู่รางๆ ความสงบของจิตใจก็เริ่มผันผวนอีกครั้ง
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์
น่าจะต้องมีเล่มต่อรึเปล่าคะ เหมือนยังไม่จบเพราะตอนสุดท้ายเห็นว่ามีชนเผ่ามาเยือนโดยไม่ได้นัดหมาย...
สนุกมากค่ะ ขอบคุณที่ลงจนจบค่ะ❤️❤️...
แย่จิ่งหลานเอ๋ย ในมิติไม่มียาสลบหรือ เอามาแทงคอตอนเผลออะไรอย่างนี้ให้หลับไป...
ขอบคุณแอดมากๆค่ะที่อัพจนจบ 🙏👍สนุกมากเรื่องนี้ happy ending สุขสันต์วันสงกรานต์ หยุดพักผ่อนได้แล้วนะแอด555 ยังไงเรื่องถัดไปขอเรื่องฮองเฮาสุดที่รักด้วยนะคะ...
รออัพต่อนะคะ ใกล้จะจบแล้ว...
เศร้าเลย แอดมินไม่มาต่อ พลีสสสส...
รอๆๆ กลับมาอัพต่อค่ะ น่าจะใกล้จบแล้ว...
ไม่อัพต่อแล้วเหรอคะ กำลังสนุกเลย อินชิงเสวียนถูกจับแบบนี้จะมีใครมาช่วยได้บ้าง...
ตัวโกงเก่งกว่าคนดีแถมคนชั่วร้ายก็มีอยู่มากมายทั้งนอกทั้งในแบบนี้จะสู้ศึกไหวเหรอ...
มันเป็นพวกไหนกันแน่นะที่บ่อนทำลายชาติ ที่สำคัญจะเป็นคุณชายใหญ่ตระกูลอินด้วยหรือเปล่า...