ฮวาเชียนยืนไม่ห่างอยู่ตลอดเวลา เมื่อเห็นเย่จิ่งหลานปรากฏตัวใต้หินประหลาด จึงรีบวิ่งเข้ามาทันที
“คุณชายน้อยเย่ ไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่?”
“ไม่เป็นไร ฮั่วเทียนเฉิงและศิษย์ถูกข้าขังไว้ในมิติ ออกทะเลได้เมื่อไร ค่อยปล่อยพวกเขาออกมา เป็นการยากที่จะแยกแยะทิศทางของทะเล และไม่ว่าวิทยายุทธ์สูงส่งแค่ไหนก็ไม่สามารถใช้มันได้ สงครามครั้งนี้พวกเราต้องชนะ!”
เมื่อมองใบหน้าเล็กที่มีจิตใจฮึกเหิมของเย่จิ่งหลาน ดวงตาของฮวาเชียนก็เคลิบเคลิ้มตามไปด้วย ราวกับว่ามองเห็นเย่จิ่งอวี้ที่อยู่ในวัยเด็ก สมแล้วที่เป็นพี่น้องกัน ช่างเหมือนกันจริงๆ
“เช่นนั้นก็ดี ข้าขอตัวก่อน”
เย่จิ่งหลานโน้มตัวเล็กน้อย
“ท่านอาฮวากลับดีๆ ขอรับ”
...
ณ พระราชวัง
อินชิงเสวียนมาถึงหอฉยงหวาแล้ว เมื่อเปิดประตูเข้าไปก็เห็นว่าด้านในเรือนมีพัสดุขนาดใหญ่วางอยู่หลายสิบชิ้น ดูท่าทางซูฉ่ายเวยจะเก็บสะสมสมบัติไว้ไม่นอนในครึ่งปีนี้
ขณะนั้น นายบ่าวสองคนยังคงยุ่งวุ่นวายอยู่ในเรือน
ก่อนที่อินชิงเสวียนจะจากไป ซูฉ่ายเวยก็พอมองออกแล้วว่า พระราชโองการเรื่องนี้จะต้องเกิดขึ้นสักวัน นางก็ไม่ได้รู้สึกเศร้าเสียใจอะไร
ชื่อของนางถูกจารึกไว้ในวังแล้ว แม้ว่าคนจะจากไป แต่ชื่อของซูฉ่ายเวยยังคงเป็นนางสนม นี่คือเกียรติยศที่นางแย่งชิงมาเพื่อตระกูลซู จากนี้นางไม่เพียงแต่งงานกับผู้อื่นได้ แต่ยังสามารถรับเงินบำนาญของนางสนมต่อไปได้อีกด้วย จนกระทั้งสิ้นลมหายใจ คงไม่มีเรื่องไหนบนโลกจะดีไปกว่านี้แล้ว
ซูฉ่ายเวยพอใจกับผลลัพธ์นี้อย่างมาก และยังรู้สึกตื่นเต้นอีกด้วย
นางตั้งใจแต่งตัว บนศีรษะปักปิ่นดอกไม้ไหวมุกและเพชรที่ชอบเต็มไปหมด นางสวมกระโปรงพับกลีบสีแดงแอปริคอทที่งดงาม มีกำไลเต็มข้อมือทั้งสองข้าง นางดูร่ำรวยและมีเกียรติมาก
อีกไม่นานก็จะได้พบครอบครัวแล้ว ต่อไปไม่ต้องอยู่ในเรือนขนาดใหญ่ประตูสูงส่งราวกับวังเย็นอีกแล้ว นางเหมือนนกถูกขังที่พุ่งตัวสู่ป่าเขา เมื่อนึกถึงชีวิตแห่งความสุขหลังจากนี้ ซูฉ่ายเวยก็ยิ้มที่มุมปากอย่างอดใจไม่ได้
“เชิงเทียนสองอันนี้ก็เอาไปด้วย ให้น้องชายข้าใช้อ่านหนังสือ เขาต้องชอบมากแน่นอน ผ้าม่านนี่ก็ด้วย สีไม่เลวทีเดียว ตัดให้เป็นชิ้นๆ ทำเป็นดอกไม้ปลอมก็สวยน่ามอง”
นางยืนอยู่กลางเรือนเพื่อสั่งงาน หากสามารถยกหอฉยงหวาไปได้ นางคงไม่ปล่อยไว้แน่
อินชิงเสวียนยืนอยู่น่าประตู ฟังเสียงที่มีความสุขของซูฉ่ายเวย อารมณ์ก็ดีขึ้นมากทันที
สำหรับผู้หญิงเหล่านี้ที่ออกจากวัง อินชิงเสวียนยังคงรู้สึกผิดในใจอยู่บ้าง
แม้ว่าอยู่ในวังจะไม่มีทางได้รับความโปรดปราน แต่ย่อมมีความคิดถึงอยู่บ้าง หากก้าวเท้าออกไปจากประตูวังก็จะไม่เหลืออะไรแล้วจริงๆ บางทีพวกนางอาจเข้าใจได้ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า แต่ตอนนี้คงไม่มีความตระหนักรู้เช่นนั้นอย่างแน่นอน
หากซูฉ่ายเวยคิดได้เช่นนั้น นับว่าหาได้ยากยิ่งอย่างแท้จริง!
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง สิ่งของในหอฉยงหวาก็ถูกเก็บจนว่างเปล่า โต๊ะเก้าอี้ก็ไม่เหลือให้เห็น
ของเหล่านี้อาจดูไม่มีค่ามากนักในวัง แต่ในบ้านของคนทั่วไป ไม่มีทางได้ใช้ไม้พะยูงหอมระดับสูงเช่นนี้แน่นอน
ซูฉ่ายเวยกวาดตามองตำหนักที่ว่างเปล่า จึงหันกลับไปด้วยความพอใจ เมื่อเห็นอินชิงเสวียนยืนพิงประตูอยู่ มีรอยยิ้มเล็กน้อยที่มุมปาก และใบหน้าของนางเปลี่ยนเป็นสีแดงเล็กน้อย
“ซูฉ่ายเวยขอถวายบังคมหวงกุ้ยเฟย!”
อินชิงเสวียนเดินไปด้านหน้า สองมือจับแขนของซูฉ่ายเวย
“ไม่ต้องมากพิธี เจ้ายังต้องการสิ่งใดอีกหรือไม่?”
ซูฉ่ายเวยพูดหยอกตัวเองว่า “หอฉยงหวาแทบถูกข้ายกออกไปจนหมดสิ้นแล้ว ไม่ต้องการสิ่งใดอีกแล้วเพคะ หวังว่าฝ่าบาทจะไม่กล่าวโทษก็พอ”
อินชิงเสวียนถอนหายใจเบาๆ
“ได้อย่างไรกัน พวกข้าต่างหากที่ติดค้างเจ้า”
“ติดค้างอะไรกันเพคะ ก่อนหน้านี้ข้าเคยบอกหวงกุ้ยเฟยแล้ว การแย่งชิงความโปรดปรานเป็นเรื่องที่ไร้หนทางช่วยได้ ผู้ใดจะยอมใช้ผู้ชายร่วมกับผู้หญิงคนอื่น ไม่ว่าข้าหรือนางสนมเล็กๆ เหล่านั้นที่ออกไปแล้วล้วนเป็นแบบนี้ทั้งนั้น หากว่าฝ่าบาทเปลี่ยนไปชอบใครอีกคน ผลลัพธ์อาจจะน่าสลดใจยิ่งกว่านี้ก็ได้ ไม่แน่ว่าพระราชโองการเพียงฉบับเดียว อาจฆ่าพวกข้าได้ทั้งหมด”
ซูฉ่ายเวยหดคอเล็กน้อย ราวกับว่ามีดกดลงบนคอของนางจริงๆ
อินชิงเสวียนรู้ว่านี่เป็นเพียงการพูดล้อเล่น หากเย่จิ่งอวี้ดุร้ายเช่นนั้นจริงๆ เช่นนั้นยังมีสิ่งใดให้รักอีกบ้าง
ในวังไม่อนุญาตให้รถม้าเข้ามา สิ่งนี้นับเป็นเกียรติสูงสุดสำหรับซูฉ่ายเวยแล้ว
นางไม่เพียงโชคดีที่ได้ผูกมิตรกับเสี่ยวเสวียนจื่อตั้งแต่แรก ถือว่าได้รับคำอวยพรจนหัวใจเปิดกว้าง หากไม่เช่นนั้นคงไม่มีภาพที่ปรากฏแก่สายตาอย่างในวันนี้
อินชิงเสวียนมาส่งซูฉ่ายเวยจนถึงประตูจิ้งอัน ทั้งสองคนพูดคุยถึงเหตุการณ์ที่ตีกันเป็นครั้งแรก จึงหัวเราะเบาๆ ออกมาเป็นครั้งคราว
ระยะทางที่ยาวไกลย่อมมีปลายทางเสมอ แม้ซูฉ่ายเวยจะมีความอาลัยอาวรร์ สุดท้ายก็ต้องเดินออกไป
นางหยุดฝีเท้าลง หันกลับไปมองอินชิงเสวียนอยู่นานสองนาน ทันใดนั้นก็ยกกระโปรงขึ้นและคุกเข่าลง พร้อมก้มหัวคำนับอินชิงเสวียนสามครั้ง
พูดด้วยน้ำเสียงสะอื้นว่า “หม่อมฉันซูฉ่ายเวย ขอบพระทัยหวงกุ้ยเฟยที่ทรงดูแลตลอดเวลาที่อยู่ในวัง ขอให้ชีวิตจากนี้ของเหนียงเหนียงสงบสุขและราบรื่น สมหวังดังใจทุกประการ ครองรักกับฝ่าบาทจนแก่เฒ่า มีลูกเต็มบ้านมีหลานเต็มเมืองนะเพคะ!”
เมื่อเห็นท่าทางเช่นนี้ของนาง อินชิงเสวียนก็รู้สึกหน่วงที่จมูก
ธรรมชาติของมนุษย์มีความซับซ้อนมาโดยตลอด
ตอนแรกนางรังเกียจซูฉ่ายเวยเป็นอย่างมาก ที่ขายของให้นางก็เพราะว่านางซื่อบื้อและมีเงินเยอะก็เท่านั้น ทว่านับตั้งแต่รองเสนาบดีซูเสียชีวิจ ซูฉ่ายเวยก็ค่อยๆ เปลี่ยนไป นางรู้จักการขอบคุณ แยกแยะสิ่งดีและเลวได้ เริ่มเปลี่ยนเป็นคนที่มีเกียรติและสง่างาม นิสัยที่ชอบคิดเล็กคิดน้อยก็มีความคิดก้าวหน้า
ผู้หญิงเช่นนี้ สมควรได้รับสามีที่ปฏิบัติต่อนางอย่างจริงใจ
“ขอบใจมาก”
คำพูดนี้ อินชิงเสวียนพูดด้วยความหนักแน่น เพื่อปกปิดเสียงสะอื้นในลำคอ
“หวงกุ้ยเฟยกรุณาดูแลตัวเองด้วยเพคะ!”
ซูฉ่ายเวยพูดจบก็หันหน้าวิ่งไปจากวังจิ้งอานโดยไม่หันกลับมาอีก
อินชิงเสวียนยืนมองจากด้านในอยู่ตลอด จนกระทั่งเงาของซูฉ่ายเวยหายไปอย่างไร้ร่องรอย นางจึงค่อยๆ หันหลังกลับ แต่ชนเข้ากับอ้อมอกที่อบอุ่น
ชายผู้นั้นกางแขนออก กอดร่างน้อยที่บอบบางของนางไว้ในอ้อมอก
พูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนและแผ่วเบาว่า “อย่าเสียใจไป ข้าอยู่นี่!”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์
น่าจะต้องมีเล่มต่อรึเปล่าคะ เหมือนยังไม่จบเพราะตอนสุดท้ายเห็นว่ามีชนเผ่ามาเยือนโดยไม่ได้นัดหมาย...
สนุกมากค่ะ ขอบคุณที่ลงจนจบค่ะ❤️❤️...
แย่จิ่งหลานเอ๋ย ในมิติไม่มียาสลบหรือ เอามาแทงคอตอนเผลออะไรอย่างนี้ให้หลับไป...
ขอบคุณแอดมากๆค่ะที่อัพจนจบ 🙏👍สนุกมากเรื่องนี้ happy ending สุขสันต์วันสงกรานต์ หยุดพักผ่อนได้แล้วนะแอด555 ยังไงเรื่องถัดไปขอเรื่องฮองเฮาสุดที่รักด้วยนะคะ...
รออัพต่อนะคะ ใกล้จะจบแล้ว...
เศร้าเลย แอดมินไม่มาต่อ พลีสสสส...
รอๆๆ กลับมาอัพต่อค่ะ น่าจะใกล้จบแล้ว...
ไม่อัพต่อแล้วเหรอคะ กำลังสนุกเลย อินชิงเสวียนถูกจับแบบนี้จะมีใครมาช่วยได้บ้าง...
ตัวโกงเก่งกว่าคนดีแถมคนชั่วร้ายก็มีอยู่มากมายทั้งนอกทั้งในแบบนี้จะสู้ศึกไหวเหรอ...
มันเป็นพวกไหนกันแน่นะที่บ่อนทำลายชาติ ที่สำคัญจะเป็นคุณชายใหญ่ตระกูลอินด้วยหรือเปล่า...