เสี่ยวหนานเฟิงที่อายุเท่านี้จะแยกแยะดีชั่วได้อย่างไร เมื่อเห็นฉางเฮิ่นเทียนยิ้ม ทั้งยั้งเล่นกับตัวเอง เขาก็พยักหน้าอย่างมีความสุข
อินชิงเสวียนยกมุมปากขึ้นเช่นกัน
ตราบใดที่ยังมีความต้องการก็จัดการได้ง่าย กลัวแต่ว่าเขาจะไม่ปรารถนาสิ่งใด
สักพักอาหารง่ายๆ ก็เตรียมพร้อมเสร็จสรรพ
อินชิงเสวียนหยิบข้าวถ้วยร้อนสองกล่องส่งให้ฉางเฮิ่นเทียน
“ข้าวนี้นุ่มมาก ลูกข้ากินได้ พวกเจ้าสองคนกินกันคนละกล่องนะ ถ้าไม่พอ เจ้าก็กินเสบียงอาหารแห้ง”
“ขอบคุณแม่นางอิน”
ฉางเฮิ่นเทียนใช้มือหนึ่งอุ้มเสี่ยวหนานเฟิง แล้วรับอาหารด้วยมืออีกข้างหนึ่ง
อินชิงเสวียนกินชอบหม้อไฟเล็ก จึงหยิบของตัวเอง ส่วนที่เหลือที่เหลือก็เก็บไว้ให้ผู้อาวุโสหันและเฟิงเอ้อร์เหนียง
“เจ้าสำนักฉุยกินอะไรได้หรือไม่ ที่ข้ายังมีนมอยู่นะ”
เฟิงเอ้อร์เหนียงส่ายหัว
“ตอนนี้น่าจะไม่ได้ ประเดี๋ยวข้าจะถ่ายทอดพลังงานภายในให้นาง ประคับประคองร่างกายของนางไว้”
“อื้ม ถ้าต้องการเจ้าค่อยบอกข้านะ”
อินชิงเสวียนเปิดฝากล่อง แล้วนั่งกินอยู่ข้างๆ
ผู้อาวุโสหันอาศัยอยู่บนภูเขามาตลอด ไม่มีความต้องการอาหารมากนัก แต่ยังคงถูกดึงดูดความสนใจด้วยกลิ่นหอมที่ไม่เคยได้กลิ่นมาก่อน
หลังจากชิมไปคำหนึ่ง ดวงตาทั้งคู่ก็เป็นประกาย จากนั้นก็คิดว่านี่ไม่สอดคล้องกับภาพลักษณ์ความเป็นเซียนผู้บำเพ็ญพรตของเขา จึงรีบปรับสีหน้าใหม่ แล้วค่อยๆ เคี้ยว
อินชิงเสวียนกินเสร็จแล้ว นางเช็ดไม้เช็ดมือ แล้วเดินเข้าไปในรถม้า ฉางเฮิ่นเทียนกำลังป้อนข้าวเสี่ยวหนานเฟิง
“ให้ข้าทำเถอะ ส่วนของเจ้าเย็นหมดแล้ว”
ฉางเฮิ่นเทียนยิ้มและกล่าวว่า “ไม่ต้องหรอก ข้าทำได้”
อินชิงเสวียนพูดอย่างใจเย็น “เจ้าใช้มือข้างหนึ่งจับเขาไว้ก็ได้ ข้าจะนั่งป้อนอยู่ข้างล่าง ไม่รบกวนการจับตัวประกันของเจ้า”
เมื่อได้ยินคำพูดที่ตรงไปตรงมาเช่นนี้ ฉางเฮิ่นเทียนก็รู้สึกกระดากอาย
“งั้น...ก็ได้”
“ขอบคุณมาก”
อินชิงเสวียนคุกเข่าบนพื้น ใบหน้างามหยาดเยิ้มเปล่งประกายด้วยรัศมีแห่งความเป็นแม่
“ลูกเด็กดี เดี๋ยวแม่ป้อนนะ”
นางตักข้าวขึ้นมาหนึ่งช้อนเล็ก แล้วตักเนื้อกระป๋องออกมา คลุกให้เข้ากันอย่างพิถีพิถัน จากนั้นป้อนให้เสี่ยวหนานเฟิงอย่างระมัดระวัง
เสี่ยวหนานเฟิงอ้าปากเล็กๆ ทันที เหมือนลูกนกที่อ้าปากรอรับอาหาร
“กินช้าๆ ไม่ต้องรีบ”
อินชิงเสวียนหยิบผ้าเช็ดหน้าผืนนุ่มออกมา แล้วเช็ดเมล็ดข้าวออกจากใบหน้าของเขาด้วยรอยยิ้มที่อ่อนโยนยิ่ง
ขณะมองดูใบหน้างามที่เงยเข้าหาตัวเอง ฉางเฮิ่นเทียนก็ตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นรีบเบือนหน้าหนีไปด้านข้างทันที แล้วตักข้าวคำใหญ่ๆ เข้าปาก
แค่ยัยเด็กบ้าคนหนึ่ง ดีแค่ไหนก็เป็นแค่เครื่องมือใช้งาน จะคิดฟุ้งซ่านได้อย่างไร
ครั้งนี้ เขาไม่เพียงต้องการอิ๋นเฉิงทั้งเมืองเท่านั้น แต่ยังต้องการรวบรวมวิถีแห่งสวรรค์ไว้ในมือของเขาเอง ตราบใดที่สามารถไขความลับได้ เขาก็สามารถอยู่ยงคงกระพันไร้เทียมทาน ทำทุกอย่างที่ต้องการได้ ศัตรูในวันวานจะต้องมาคุกเข่าอยู่แทบเท้าของเขาทั้งหมด ให้เขาหลู่เกียรติได้ตามต้องการ...
เพื่อไม่ให้เปิดเผยอารมณ์มากเกินไป ฉางเฮิ่นเทียนก็ไม่กล้าคิดมาก ถึงอย่างไรทักษะวรยุทธ์ของอินชิงเสวียนก็ไม่ได้ต่ำเลย เขากินอย่างเร่งรีบ แล้วอุ้มเสี่ยวหนานเฟิงไว้อย่างดี
เจ้าเด็กน้อยอ้วนว่าง่ายมาก กินทุกคำอย่างตั้งอกตั้งใจ
เขาจำคำพูดของเสด็จแม่ได้ตลอด ใครเล่าจะรู้ว่าข้าวในจาน แต่ละเม็ดแสนเหนื่อยยาก
ดังนั้น อย่าทำให้ความลำบากของท่านลุงชาวนาสิ้นเปลือง ต้องกินให้หมดเกลี้ยงๆ
หลังจากนั้นไม่นาน ท้องของเสี่ยวหนานเฟิงก็ขยายใหญ่ขึ้น เขายกยิ้มมุมปากด้วยความพึงพอใจแล้วพูดเสียงยังไม่สิ้นกลิ้นน้ำนม “อิ่มแล้ว”
“ลูกรักเก่งมากเลย”
อินชิงเสวียนจะไปเทน้ำที่ใช้ต้มในกล่อง แต่ฉางเฮิ่นเทียนรับไปก่อน
“ข้าหิวน้ำน่ะ อยากดื่มน้ำ”
“ตามสบาย”
อินชิงเสวียนมอบให้เขา
แล้วฉางเฮิ่นเทียนก็เอาไปดื่มทั้งๆ ที่มีแต่กลิ่นพลาสติก
อินชิงเสวียนยิ้มอย่างเหยียดหยาม ในนั้นมีถุงอุ่นร้อนด้วย ของที่มีสารเคมีแบบนี้ พวกเขาดื่มไปเยอะๆ ก็ดีเหมือนกัน
ไม่นานรถม้าก็ออกเดินทาง
เริ่มไปไกลจากเมืองหลวงทุกขณะ
ลูกศิษย์ส่วนใหญ่บนเรือเป็นพวกว่ายน้ำไม่ได้ มีเพียงไม่กี่คนที่เป็นว่ายน้ำได้ อีกทั้งยังอาเจียนจนหมดท่า จะมีแรงทำอะไรได้
แต่ยังคงพูดอย่างกล้าหาญ “เย่จิ่งหลานคนไร้คุณธรรม ถ้าเจ้าไม่อยากสู้กับเรา ก็รออยู่ตรงนั้น กำลังหลักที่โจมตีตงหลิวในครั้งนี้ คือพวกเรา ไม่ใช่เจ้า”
เย่จิ่งหลานยักไหล่
“แล้วอย่างไรล่ะ ถ้าอยากหายเป็นปกติ ก็รอจนกว่าจะขึ้นฝั่งเถอะ”
“เจ้ามันสารเลว รีบส่งยามาให้ข้าเร็วๆ”
เก่อหงยวนจับข้อเท้าของเย่จิ่งหลานอย่างลนลาน พยายามดึงเขาลงมา แต่เย่จิ่งหลานกลับยืนตระหง่านอย่างมั่นคง พูดด้วยรอยยิ้มหน้าระรื่น “ถ้าอยากได้ก็ใช่ว่าจะให้ไม่ได้ เรียกข้าว่าคุณชายเย่ที่เก่งที่สุดในโลกหล้า บางทีข้าอาจพิจารณาให้ก็ได้”
ทันทีที่เก่อหงยวนอ้าปาก อาการคลื่นไส้วิงเวียนก็กลับมาอีก
“อ้วก!”
เก่อหงยวนปิดปาก คลื่นได้ซัดมาพอดี ทำให้เรือสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง นางก็ล้มกลิ้งลงกับพื้น
เย่จิ่งหลานส่ายหัวและถอนหายใจ
“คุณหนูเก่อน่าผิดหวังจริงๆ แค่คลื่นซัดเรือยังทำให้เจ้าล้มได้ น่าเป็นห่วงจริงๆ”
เก่อหงยวนอ้วกลมออกมาหลายครั้ง แต่ไม่มีอะไรออกมา รู้สึกแค่ว่าภาพตรงหน้าเปลี่ยนเป็นสีดำ ซึ่งความรู้สึกนี้ช่างเจ็บปวดราวยิ่งกว่าความตาย
เพื่อลดความเจ็บปวด ทำได้เพียงกล้ำกลืนโทสะ แล้วพูดว่า “คุณชายเย่ที่เก่งที่สุดที่สุดในโลกหล้าเจ้าค่ะ ได้โปรดเอายาข้าด้วยเถิด หลังจากขึ้นฝั่งแล้ว ข้าสัญญาว่าจะต่อสู้กับศัตรูอย่างกล้าหาญ จะไม่หันหลังกลับเด็ดขาด”
เย่จิ่งหลานอดหัวเราะไม่ได้
“เห็นแก่ความศรัทธาของเจ้า ข้าจะให้รางวัลเจ้าก็ได้”
เขาหยิบยาแก้เมาเรือออกมาสองเม็ด แล้วโยนให้เก่อหงยวนอย่างไม่ตั้งใจ
เก่อหงยวนดิ้นรนพยายามรับเอายา หลังจากกลืนลงไป นางก็กัดฟันพูดว่า “เย่จิ่งหลาน ทางที่ดีเจ้าจงอยู่อย่างสงบหน่อย หลังจากเอาชนะตงหลิวแล้ว ข้าจะลอกเนื้อเถือหนังของเจ้า แล้วเอาไปสวมให้พวกเต่าหดหัว”
“ได้เลย ถ้าเจ้ามีความสามารถขนาดนั้น ข้าจะไม่คัดค้าน”
หลังจากที่เย่จิ่งหลานพูดจบก็เดินลั้ลลาไปที่ดาดฟ้าเรือ
หวังซุ่นที่อยู่ข้างๆ กลอกตามองอย่างเอือมระอา
ท่าทางแบบนี้อสดงมาหลายวันแล้ว สองคนนี้ไม่เหนื่อยหรืออย่างไร
เขาที่เป็นผู้ฟังยังรู้สึกเบื่อหน่ายหมดแล้ว
โชคดีที่ใกล้ถึงตงหลิวแล้ว เมื่อมองดูความมืดมิดไกลๆ นัยน์ตาของหวังซุ่นก็ฉายแววซับซ้อนอยู่มิวาย...
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์
น่าจะต้องมีเล่มต่อรึเปล่าคะ เหมือนยังไม่จบเพราะตอนสุดท้ายเห็นว่ามีชนเผ่ามาเยือนโดยไม่ได้นัดหมาย...
สนุกมากค่ะ ขอบคุณที่ลงจนจบค่ะ❤️❤️...
แย่จิ่งหลานเอ๋ย ในมิติไม่มียาสลบหรือ เอามาแทงคอตอนเผลออะไรอย่างนี้ให้หลับไป...
ขอบคุณแอดมากๆค่ะที่อัพจนจบ 🙏👍สนุกมากเรื่องนี้ happy ending สุขสันต์วันสงกรานต์ หยุดพักผ่อนได้แล้วนะแอด555 ยังไงเรื่องถัดไปขอเรื่องฮองเฮาสุดที่รักด้วยนะคะ...
รออัพต่อนะคะ ใกล้จะจบแล้ว...
เศร้าเลย แอดมินไม่มาต่อ พลีสสสส...
รอๆๆ กลับมาอัพต่อค่ะ น่าจะใกล้จบแล้ว...
ไม่อัพต่อแล้วเหรอคะ กำลังสนุกเลย อินชิงเสวียนถูกจับแบบนี้จะมีใครมาช่วยได้บ้าง...
ตัวโกงเก่งกว่าคนดีแถมคนชั่วร้ายก็มีอยู่มากมายทั้งนอกทั้งในแบบนี้จะสู้ศึกไหวเหรอ...
มันเป็นพวกไหนกันแน่นะที่บ่อนทำลายชาติ ที่สำคัญจะเป็นคุณชายใหญ่ตระกูลอินด้วยหรือเปล่า...