ทะลุมิติเวลามาเป็นชายา นิยาย บท 882

คุณชายน้อยอวิ๋นเช่อมิได้กระพริบตาเลยสักครั้ง และยังหัวเราะ “คิกๆ คักๆ ” ที่เรียกได้ว่ามิมีพิษมีภัย “ยาแก้พิษอยู่ที่แม่ของข้า ที่ข้ามิมีหรอก”

ลูกพี่เหลียนฉงนเล็กน้อย มองไปยังคุณชายน้อยอวิ๋นเช่อราวกับกำลังมองปีศาจซาตาน เขาเองก็กลัวจนมิกล้าขยับเขยื้อนตัว พยายามคิดย่างหนักเพื่อหาวิธี แล้วก็ค่อยๆ หยิบอาวุธที่ซ่อนอยูในอ้อมแขนออกมา

เรื่องกำลังจะเสร็จสิ้นแล้วเชียว จะปล่อยให้เขาหนีไปมิได้เด็ดขาด

ฉีจิ่งอวิ๋นที่ซ่อนตัวอยู่มิไกลก็ถอนหายใจออกมาอย่างอดมิได้ ตนอุตส่าห์คิดหนักตามมาตลอดทาง เดิมทีคือคิดจะช่วยอวิ๋นเช่อน้อย แต่ผลลัพธ์กลับคาดมิถึง เกรงว่าจะต้องออกโรงไปช่วยคนลักพาตัวแทนเสียแล้ว

ลูกชายของเหลิ่งชิงฮวน ช่างแปลกประหลาดเสียจริง และไร้ซึ่งความใจอ่อนและใช้อารมณ์เป็นใหญ่ของสตรี

เขามิได้หลบซ่อนอีกต่อไป ค่อยๆ ย่องลงมาบนพื้นเบาๆ ทันใดนั้นก็เปลี่ยนตำแหน่งไปยังด้านหลังของลูกพี่เหลียน ในจังหวะที่หนิวเอ้อร์กำลังจะอุทานด้วยตกใจ เขาก็ยกมือขึ้นกดจุดฝังเข็มของเขา

อวิ๋นเช่อเริงร่าขึ้นมาทันที “ลุงหน้ากากผี ข้าจำท่านได้ ท่านคือคนที่ท่านพ่อส่งมารับข้างั้นรึ”

ฉีจิ่งอวิ๋นพยักหน้า ยื่นแขนไปหาเขา “ลงมาให้ลุงอุ้มสิ”

อวิ๋นเช่อรีบอ้าแขนทันทีก่อนจะบินเข้าไปในอ้อมแขนของฉีจิ่งอวิ๋นราวกับแม่ไก่ตัวน้อย

ฉีจิงอวิ๋นรู้สึกถึงเพียงแขนกดจมลงด้วยเนื้ออ้วนๆ กลมๆ เขาก็มีความรู้สึกที่อิ่มเอมอย่างน่าประหลาดในทันที ทำให้เขาอดที่จะยิ้มมุมปากมิได้

มือเล็กๆ ของอวิ๋นเช่อแตะลงบนหน้ากากโลหะ และพูดแกมอิจฉา “ช่างน่าเกรงขามยิ่งนัก ท่านลุง ข้าก็อยากได้หน้ากากแบบนี้บ้าง”

ฉีจิ่งอวิ๋นยกมือขึ้นมาโดยมิลังเลเลยสักนิด ก่อนจะถอดหน้ากากบนหน้าออก “ลุงให้เจ้ายืมใส่ได้ชั่วคราว แล้วจะกลับไปทำหน้ากากที่ขลังกว่านี้ให้เจ้า ดีไหม?”

ใบหน้าของอวิ๋นเช่อแสดงท่าทางดีอกดีใจ เมื่อมองผ่านหน้ากากของฉีจิ่งอวิ๋นที่มิเห็นแสงอาทิตย์มาตลอดปี ใบหน้านั้นซีดเล็กน้อย ก่อนประจบประแจงอย่างเริงร่า “ท่านลุงช่างรูปงาม หล่อเหลา หน้าตาดีกว่าพ่อของข้าเสียอีก กลับไปแล้วข้าจะแนะนำป้าๆ น้าๆ สวยๆ ให้ท่าน มิกินแห้วแน่”

ฉีจิ่งอวิ๋นหัวเราะลั่น รู้สึกเพียงว่าเหมือนจะมิได้มีความสุขขนาดนี้มานานหลายปีแล้ว

หนิวเอ้อร์ที่อยู่ตรงหน้าเห็นทั้งสองคุยกันอย่างชื่นมื่น จึงค่อยๆ ย้ายตัวเองออกไปอย่างเงียบๆ คิดจะใช้โอกาสนี้ในการหลบหนี

ฉีจิ่งอวิ๋นที่หูตาไวจึงเขวี้ยงกระบี่ยาวในมือพุ่งตรงไปทำให้เขาหวาดกลัว

เขายกมือมาปิดตาของอวิ๋นเช่อไว้ และยิ้มเยาะ “เห็นหน้าข้าแล้ว เจ้าคิดว่าจะมีชีวิตรอดไปได้รึ”

ประโยคเดียวสามารถข่มขวัญให้ลูกพี่เหลียนที่อยู่ด้านหลังวิญญานแทบออกจากร่าง ปากสั่นฟันกระทบจนแทบจะจมไปในทันที

ฉีจิ่งอวิ๋นหันหน้ามามองไปทางเขาอย่างเย็นชา เขาจึงรีบหลับตาปี๋

“ท่านวีรบุรุษโปรดไว้ชีวิต ไว้ชีวิตข้าด้วย พวกข้าก็ถูกบังคับมา ต้องเชื่อฟังคำสั่งเท่านั้น”

ฉีจิ่งอวิ๋นมองดูเสื้อผ้าบนตัวของเขา มีป้ายแขวนเอวห้อยอยู่ที่เอว ดวงตาก็สุกใส “เช่อเอ๋อร์ เจ้าว่าเราจะเก็บเขาไว้ดีไหม”

เสียงนั้นเปรียบเสมือนลมเหนือเย็นในเก้าวันอันหนาวเหน็บ ลูกพี่เหลียนรู้ดีว่าอีกฝ่ายมิใช่เจ้านายผู้ใจอ่อน ตนจะต้องมิรอดแน่

อวิ๋นเช่อหัวเราะ “คิกคัก” “เก็บเป็นม้าไว้ขี่ไปก่อน แล้วค่อยจัดการก็ได้”

ชีวิตของลูกพี่เหลียนแขวนอยู่บนเส้นด้าย วันเวลาของคนอื่นๆ ก็มิได้ผ่านไปง่ายๆ เช่นกัน โดยเฉพาะคนสี่คนที่มีหน้าที่รับผิดชอบเฝ้าเหลิ่งชิงเจียวกับจินซื่อก็ตกอยู่ในความเสี่ยงเช่นกัน

เหลิ่งชิงฮวนนำเทียนซื่อตี้ลี่ไปยังวัดซานเสินอย่างรวดเร็ว แต่ก็ช้าไปก้าวหนึ่ง คนเหล่านั้นเพิ่งจะออกไปจากที่นี่

ฉีจิ่งอวิ๋นทิ้งร่องรอยอันเป็นเอกลักษณ์ขององครักษ์อินทรีเอาไว้ที่วัดซานเสิน ชิงฮวนเดินค้นหาไปตามทางที่ทำเครื่องหมายไว้จนสุดทาง ก็มิพบร่องรอยของอวิ๋นเช่อ แต่กลับพบกระท่อมล่าสัตว์ที่ถูกทิ้งร้างอยู่ในหุบเขา

ทางเข้ามีคนสองสามคนเฝ้าอยู่ คอยสังเกตการณ์การเคลื่อนไหวรอบๆ อย่างระมัดระวังและมีมีดอยู่ข้างเอว

ชิงฮวนโบกมือ สั่งให้ทหารรักษาพระองค์แยกกันไปล้อมกระท่อมไว้ จัดการแก้ไขเรื่องยุ่งยากเหล่านี้อย่างเงียบเชียบ เหลิ่งชิงเจียวกับจินซื่อถูกมัดแน่นอยู่ในกระท่อม

แรกสุดตอนที่จินซื่ออยู่เขตทางเหนือของกำแพงเมืองจีนในปีนั้น ได้รับความลำบากจากพายุทรายอันแหลมคม เป็นไข้หวัดจากลมหนาว ประกอบกับการโหมทำงานหนักเป็นเวลานานจนเป็นโรคปอด แม้ว่าในตอนหลังจะได้รับการดูแลควบคุมโรคจากเหลิ่งเซียง มันก็เป็นโรคเรื้อรังที่รักษามิหายขาดแล้ว

เสิ่นหลินเฟิงมุ่งหน้าไปยังจวนอ๋องฉีเพื่อแย่งชิงโอกาสไว้ก่อน

เมื่อเขามาถึงจวนอ๋องฉีแล้ว ผลปรากฏว่ามันมีบางอย่างเกิดขึ้นจริงๆ

พระสนมหลินเฟยส่งคนมุ่งหน้าไปที่ตำหนักฉาวเทียน เคลื่อนย้ายเตียงของชิงฮวน ยกแผ่นหินใต้เตียงออก และรื้อค้นพลิกแผ่นดินหาจนเหงื่อไหลราวกับฝน ทำให้ภายในห้องต่างไปจากเดิม

เนื่องจาก “งานศพ” ของมู่หรงฉี ทหารอารักขาที่จวนอ๋องฉีจึงเหลือน้อย และคนหมู่น้อยย่อมแพ้คนหมู่มาก มิใช่คู่ต่อสู้ของคนร้ายเหล่านี้

เสิ่นหลินเฟิงถือกระบี่โรมรุกบุกตะลุยเข้าไป พิงวงกบประตู ก่อนจะถอนหายใจ ถ้ารู้อยู่ก่อนว่าคนของพระสนมหลินเฟยจะโง่เง่าขนาดนั้น ตนคงมิได้รีบกลับมาอย่างร้อนรนอันใดนัก

ตนรีบพรวดบุกเข้ามามองคนเหล่านั้นขุดหลุม

พวกเขามิคิดหรือว่า อวิ๋นเช่อเป็นเพียงแค่เด็กน้อยคนหนึ่ง จะสามารถขุดหลุมลึกขนาดนี้ได้เยี่ยงไร?

ฮวนฮวนนี้มิใช่ฮวนฮวนนั้นต่างหาก

เขายืนอยู่ในลานของตำหนักฉาวเทียน หันหน้าไปมองรังสุนัขเตี้ยๆ นั่น แล้วถอนหายใจเบาๆ อีกครั้ง

ถ้าหากข้าราชการพลเรือนรู้ว่าตราราชลัญจกรหยกนี้ถูกซ่อนอยู่ใต้ “เตียง” ของลูกสุนัขฮวนฮวนในรังสุนัขโดยคุณชายน้อยอวิ๋นเช่อ มิรู้เลยว่าจะต้องรู้สึกเยี่ยงไร

ฉะนั้นก็พูดได้ว่า เรื่องนี้ควรจะเป็นความลับ มิเหมาะที่จะป่าวประกาศออกไป และก็มิเหมาะที่จะหาใครมาทำแทนด้วย

แต่ตนป็นถึงรัชทายาทแห่งจวนกั๋วกง หากเข้าไปในรังสุนัข จะเหมาะหรือ?

เสิ่นหลินเฟิงวางที่ขุดเหล่านั้นและรื้อรังสุนัขออกเองอย่างจนปัญญา

หลังจากนั้นก็ขุดตราราชลัญจกรที่ห่อด้วยผ้าไหมสีเหลืองออกมาจากใต้กองฟางมาเก็บตุงอยู่ในอ้อมแขน และเดินแกว่งไปแกว่งมาออกมาจากจวนอ๋องฉีภายใต้เสียงเห่าที่เต็มไปด้วยความไม่เป็นมิตรต่อศัตรูของฮวนฮวน เรียกความสนใจของทหารอารักขาจวนท่านอ๋องอย่างน่าประหลาด

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ทะลุมิติเวลามาเป็นชายา