วิวาห์สายฟ้าแลบ กับคุณสามีผู้ลึกลับ นิยาย บท 561

เซี่ยอันนาไม่คิดว่ามันเป็นเรื่องใหญ่ แต่มู่ยู่วฉีไม่คิดแบบนั้น

เมื่อเขาได้ยินคำอธิบายของเซี่ยอันนา เขาก็แสดงความผิดหวังออกมา

“ทำไมเราอยู่ด้วยกันแล้ว ยังไม่ให้ฉันแตะต้องอีก ของดีอยู่ตรงหน้าแต่กินไม่ได้ มันช่างเจ็บปวดจริงๆ!”

เสี่ยวอวี้หลินแสดงความเห็นใจ แต่เขาทำได้เพียงแค่ปลอบใจ: "แกก็ให้เวลาฉีฉีหน่อยสิ เธอยังเด็กอยู่"

“ แต่ฉันโตแล้วนิ”

“ถ้างั้นแกก็ต้องรอไง ไม่รอแล้วจะให้ทำยังไง?”

มู่ยู่วฉีนอนอย่างอ่อนแรงบนโต๊ะ พึมพำ: “ ฉันหมดหวังแล้ว...... ”

เซี่ยอันนาไม่อยากเห็นสภาพใกล้ตายของเขาแบบนี้ ขมวดคิ้วและพูดว่า: "ยังไงเธอก็จีบติดแล้ว ไม่ต้องรีบร้อนมันไม่มีประโยชน์ ถ้าถึงเวลามันจะมาเอง"

"นั่นแหละ ฉันว่าแกใจร้อนเกินไป ฉีฉียังไม่เห็นเสน่ห์ของแก แกต้องทำให้ฉีฉีติดงอมแงม จากนั้นทุกอย่างก็จะง่ายขึ้นเอง"

"เสน่ห์ของฉัน...... " มู่ยู่วฉีคิดชั่วขณะ ส่ายหัวทันทีและพูดว่า: "ไม่ได้ไม่ได้ เสน่ห์ของฉันในสายตาฉีฉี ฉันเป็นแค่หมาน่ารำคาญตัวหนึ่ง เธอไม่ชอบหรอก"

"ทำไมแกถึงโง่ขนาดนี้ ถ้าฉีฉีชอบอะไร แกก็ทำแบบนั้นสิ"

มู่ยู่วฉีจับผมตัวเองและทรุดตัวลงเล็กน้อย: "ครั้งก่อนฉันเพิ่งทำในสิ่งที่เธอชอบ ปรากฏว่า? ฉันร้องเพลงให้ฉีฉีฟัง เธอตกใจจนหนีไปเลย!"

เสี่ยวอวี้หลินตบมู่ยู่วฉีและพูดว่า: "ครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งก่อน ตอนนี้ฉีฉีอยู่ในมือแกแล้ว ไม่หนีไปไหนหรอก เชื่อฉันสิ ร้องให้เธอฟังอีกครั้ง ผลลัพธ์ไม่เหมือนเดิมแน่นอน"

"เธอต้องมั่นใจในตัวเองสิ เส้นทางที่ยากที่สุดกำลังรอให้เธอผ่านมันไปได้ รางวัลคุ้มค่าแน่"

มู่ยู่วฉีมองขึ้นไปบนฟ้าแล้วพูดว่า: "ฉันเห็นแต่คนอื่นมีความรักที่ราบลื่น ทำไมความรักของฉันถึงยากแบบนี้?"

"ใครจะสมหวังได้ง่ายๆกัน"

"ถ้าฝนไม่ตก จะมีสายรุ้งเกิดขึ้นได้ไง?"

มู่ยู่วฉีทำหน้ามุ่ยใส่ทั้งสองคนแล้วพูดว่า "เฮ้อ พวกแกสองคนนี่มันKTV!"

“ อะไรที่ควรพูดฉันก็บอกไปหมดแล้ว ที่เหลือก็อยู่ที่แกแล้วว่าจะทำยังไงต่อ”

"อีกอย่าง ต่อไปเรื่องเล็กๆแบบนี้แกก็จัดการเองเลย อย่ามารบกวนอันนาของฉัน รบกวนเวลาของเราสองคน ช่วงนี้เป็นเวลาที่มีค่าฉันต้องเก็บเกี่ยวไว้เยอะๆ”

เซี่ยอันนาขมวดคิ้วจ้องเสี่ยวอวี้หลิน ในขณะที่เสี่ยวอวี้หลินยังคงยิ้มไม่สนใจท่าทางของเธอ

เฮ้อ ดูคนอื่นสิ ด่าบ้างดีบ้าง นี่สินะความรัก

ส่วนตัวเองยังมีหนทางอีกยาวไกล

มู่ยู่วฉีถอนหายใจเฮือกใหญ่และเริ่มคิดหนักเกี่ยวกับวิธีทำลายสิ่งที่ขวางระหว่างพวกเขาสองคน

หลังจากคิดถึงเรื่องนี้เป็นเวลานาน มู่ยู่วฉีก็โทรหาฉีฉี

บางทีอาจเป็นเพราะเซี่ยอันนา ฉีฉีก็เลยไม่ปฏิเสธ โทรศัพท์ดังขึ้นสักพักจากนั้นก็รับสาย

“ฉีฉี เรามาเจอกันหน่อยดีไหม”

“ เจอได้ แต่เธอ......จะไม่ทำอะไรแปลกๆอีกใช่ไหม?”

"อันนาบอกความรู้สึกของเธอให้ฉันฟังแล้ว เรามาทำข้อตกลงกันดีไหม?"

"ข้อตกลงอะไร?"

"ต่อไป ถ้าเธอไม่อนุญาตฉันก็จะไม่แตะต้องเธอ อยู่ต่อหน้าคนอื่นจะไม่ทำตัวสนิทสนม ถ้าเธอไม่อยากใกล้ฉัน ฉันจะยืนห่างๆ"

ท่าทีที่จริงจังของมู่ยู่วฉี ทำให้ฉีฉีอดไม่ได้ที่จะหัวเราะ

"เธอไม่ต้องจริงจังขนาดนั้นก็ได้ ถ้าเธอไม่ลงไม้ลงมือกับฉัน ฉันก็ไม่โกรธหรอก"

เมื่อได้ยินเสียงหัวเราะของฉีฉี มู่ยู่วฉีก็ค่อยๆโล่งใจ พูดด้วยน้ำเสียงที่ไม่กังวลเหมือนเมื่อกี้: "ฉันสัญญา งั้นเธอเลิกหลบหน้าฉันได้แล้ว โอเคไหม?"

"อืมได้"

"ต่อไปถ้ามีอะไรก็มาคุยกันตรงๆ อย่าไปรบกวนคนอื่น ดูอันนาพวกเขาก็มีเรื่องกำลังยุ่ง อย่าไปรบกวนพวกเธออีก"

"เข้าใจแล้ว"

“ งั้น เราดีกันแล้วใช่ไหม?”

"เราไม่ได้ทะเลาะกันตั้งแต่แรก แค่ไม่เข้าใจกัน ตอนนี้เข้าใจกันแล้วก็ดี"

คำพูดของฉีฉี ทำให้มู่ยู่วฉีผ่อนคลายลงมาก

บางครั้งมันก็รู้สึกแปลกๆ

เห็นได้ชัดว่ารู้สึกกระสับกระส่าย เวลาต่อมาก็ผ่อนคลายและมีความสุขเพราะคำพูดจากอีกฝ่าย มู่ยู่วฉีไม่เคยรู้สึกแบบนี้มาก่อน

ถึงแม้ว่าสถานการณ์แบบนี้จะอึดอัด แต่เพราอีกฝ่ายคือฉีฉี มู่ยู่วฉีก็เลยมีความสุข

พายุเล็กๆพัดผ่านไป มู่ยู่วฉีและฉีฉีกลับมาดีกัน แต่มู่ยู่วฉีก็มีล้ำเส้นบ้างโดยไม่ได้ตั้งใจเป็นครั้งคราวและได้รับการเตือนจากฉีฉี

ในวันนี้ มู่ยู่วฉีขับรถพาฉีฉีไปที่ๆกว้างมาก เป็นที่จอดเครื่องบินส่วนตัว

เมื่อมองไปที่เฮลิคอปเตอร์ตรงหน้า ฉีฉีก็ตะลึงเล็กน้อย

"เราจะไปไหน?"

"ขึ้นไปก็รู้ ยังไงฉันก็ไม่เอาเธอไปขายหรอกหน่า"

ในขณะที่พูดมู่ยู่วฉีก็พาฉีฉีขึ้นไปที่เฮลิคอปเตอร์ แล้วสวมชุดหูฟังกันเสียงให้เธอ

นี่เป็นครั้งแรกที่ฉีฉีที่นั่งเฮลิคอปเตอร์ เธออยากรู้อยากเห็นทุกอย่าง

โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่เฮลิคอปเตอร์บินขึ้น เธอมองไปที่ทิวทัศน์ที่คุ้นเคยจากที่สูงและพบว่ามันแปลกมาก

"อ่า นั่นมันโรงเรียนของพวกเรา! มองจากตรงนี้มันเล็กจัง"

"เอ้ะ นี่ไม่ใช่สวนสาธารณะหรอ ทะเลสาบนั้นเหมือนไข่มุกเลย"

ฉีฉีจับมือของมู่ยู่วฉี พูดคุยกันเหมือนนกที่มีความสุข

มู่ยู่วฉีฟังฉีฉีพูดด้วยรอยยิ้ม และตอบกลับเป็นบางครั้ง

หลังจากความสดชื่นผ่านไป ฉีฉีรู้สึกว่าทิวทัศน์ด้านล่างคล้ายกันและเปลือกตาก็เริ่มสั่น

มู่ยู่วฉีตบไหล่ของเธอและพูดว่า: “ถ้ารู้สึกง่วง ก็นอนที่ไหล่ฉันก่อนก็ได้นะ"

ฉีฉีหาวและถามว่า: "อีกนานไหมกว่าจะถึง?"

"เดี๋ยวก็จะถึงแล้ว"

"โอเค งั้นฉะนนอนแปปนึง ถ้าเครื่องใกล้ลงแล้ว อย่าลืมปลุกฉันนะ"

“ อืม นอนเถอะ”

เมื่อได้ยินเขารับปาก ฉีฉีก็หลับตาลง

น้ำหนักบนไหล่ที่โดนพิง ทำให้มู่ยู่วฉีรู้สึกอบอุ่นมาก

เฮลิคอปเตอร์บินลัดเลาะไปตามท้องทะเลอันกว้างใหญ่ ลัดเลาะไปตามภูเขาจุนอันสูงตระหง่านและในที่สุดก็มาถึงบนลานจอดเครื่องบินของเมืองเล็กๆ

มู่ยู่วฉีตบแก้มฉีฉีเบาๆ พูดว่า: "ฉีฉี เราจะถึงแล้ว ตื่นเร็ว"

ฉีฉีขยี้ตาและมองไปข้างนอก จากนั้นเอียงศีรษะและพึมพำอย่างแปลกประหลาด: "ทิวทัศน์ที่นี่ ทำไมดูแล้วคุ้นเคยจัง"

"ก็ต้องคุ้นเคยสิ ที่นี่ เป็นหมู่บ้านของเธอไง"

"อะไรนะ?"

ความง่วงนอนทั้งหมดหายไป ฉีฉีนั่งตัวตรงและรีบมองไปข้างนอก

“ มู่ยู่วฉี เธอพาฉันมาที่นี่ทำไม?”

“ก็พาเธอกลับบ้านหน่ะสิ”

“ทำไมต้องกลับบ้านเวลานี้?”

"ฉันคิดว่าเรื่องที่เราอยู่ด้วยกัน น่าจะบอกให้พ่อแม่รู้ก่อน"

มุมปากของเธอกระตุกอย่างแรง ฉีฉีพูดขึ้นว่: "ไม่เป็นไรหรอกมั้ง"

“ทำไมถึงจะไม่เป็น เธอไม่อยากได้คำอวยพรจากพ่อแม่หรอ? ”

“ แต่สิ่งที่เราต้องเผชิญไม่ใช่คำอวยพร แต่เป็นพายุที่รุนแรง แค่นึกถึงก็รู้สึกสยองแล้ว”

"ไม่ต้องห่วง ฉันปกป้องเธอเอง ฉันจัดการทุกอย่างได้"

ฉีฉีหัวเราะอย่างเย็นชาและพูดว่า: "จะปกป้องฉัน? เธอเอาตัวเองให้รอดเถอะ คนที่จะซวยที่สุดก็คือเธอ อย่ามองโลกในแง่ดีเกินไปสิพ่อหนุ่ม "

"แม่สาวน้อยก็อย่ามองโลกในแง่ร้ายสิ ฉันทั้งหล่อและแสนดีแบบนี้ คุณอาคุณน้าต้องยอมรับฉันแน่นอน"

"เฮ้อ มองในแง่ดีขนาดนี้ต้องตายอย่างอนาถแน่ "

"สถานการณ์จะเป็นยังไง เรามารอดูกันเถอะ"

มู่ยู่วฉียืนยันว่าฉีฉีหมดหนทางแล้ว

และสิ่งหนึ่งที่มู่ยู่วฉีพูดถูก

เรื่องที่พวกเขาอยู่ด้วยกัน ไม่ช้าก็เร็วพ่อกับแม่ก็ต้องรู้ พายุลูกนี้ยังไงก็ต้องเจอเข้าสักวันอยู่ดี

ยังไงก็กลับมาแล้ว ลองเผชิญดูสักตั้ง ยังไงก็ต้องตายอยู่ดี!

ฉีฉีหายใจเข้าลึกๆ พร้อมพร้อมสีหน้าที่พร้อมลุย

มู่ยู่วฉีรู้สึกว่าฉีฉีชอบทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่

เขาเป็นคนที่สามารถมอบความสุขให้ฉีฉีได้ แม้ว่าจะเคยมีข้อผิดพลาดมาก่อน แค่อธิบายก็สิ้นเรื่อง เรื่องเล็กน้อยแค่นี้คงไม่กระทบต่อความสุขของพวกเขาหรอก

ด้วยความมั่นใจ มู่ยู่วฉีและฉีฉีจังกลับบ้านด้วยกัน

เมื่อได้ยินเสียงเคาะประตู แม่ของฉีฉีก็มาเปิดประตู

เนื่องจากประตูเปิดออกไม่มาก แม่ของฉีฉีเห็นฉีฉีคนเดียว ใบหน้าของเธอเต็มไปด้วยความประหลาดใจ

"ฉีฉีนี่ จะกลับมาทำไมไม่โทรมาบอกก่อน พ่อกับแม่จะได้ทำกับข้าวอร่อยๆไว้ให้"

"หนู……"

"ยืนอยู่ข้างนอกทำไม ทำไมไม่เข้ามา? "

"คือว่า……"

"ฉีฉี ลูกเป็นอะไร?"

เมื่อเห็นฉีฉียืดยาวและยืดเยื้อ มู่ยู่วฉีก็รู้สึกกังวล เขาจึงบีบมือเธอ และเดินออกมาพูดกับแม่ของฉีฉีด้วยรอยยิ้มว่า: “คุณน้า สวัสดีครับ"

"แม่เจ้า!"

มู่ยู่วฉีซ่อนตัวดีจนแม่ฉีฉีไม่สังเกตเห็นเขาเลย การปรากฏตัวอย่างกะทันหันทำให้แม่ฉีฉีตกใจ

แม่ของฉีฉีลูบหน้าอกตัวเองเบาๆ ขมวดคิ้วและพูดว่า: "มู่ยู่วฉี ทำไมเธอมาอีกแล้ว? บอกไปแล้วไม่ใช่หรอ ฉีฉีของเรา......"

เสียงตกใจของแม่ที่ดังมาก ทำให้ชาวบ้านรู้กันหมด

ฉีฉีไม่อยากให้คนอื่นรู้ เธอจึงเดินเข้าไปจับแขนแม่แล้วพูดว่า: "แม่ มีอะไรเราไปคุยกันในบ้านเถอะ"

"แกเข้ามาได้ แต่ไอ่ตัวแสบคนนี้ห้ามเข้ามา ฉันก็พูดชัดเจนไปหมดแล้วนะ ทำไมมันยังตามยุ่งกับแกอีก!"

“ เรื่องมันยาว”

ฉีฉีกะว่าเมื่อเข้าไปแล้วจะค่อยๆอธิบาย

แต่มู่ยู่วฉีอดไม่ไหว เขาทิ้งระเบิดลูกหนึ่งออกมา

"คุณน้า ผมกับฉีฉีอยู่ด้วยกันแล้ว!"

"อะไรนะ!?"

คำพูดเมื่อกี้ทำให้แม่ของฉีฉีโง่เขลา

ฉีฉีจ้องไปที่มู่ยู่วฉีด้วยความโกรธ ขมวดคิ้วและพูดว่า: “รู้จักคำว่าค่อยๆเป็นค่อยๆไปไหม นี่เธอจงใจหรือเปล่า!"

"ก็ฉันเป็นคนตรงๆ"

แม่ของฉีฉีลากฉีฉีไปที่ด้านข้างของเธอและถามด้วยความโกรธ: "ฉีฉี แกบอกมาตรงๆ ผู้ชายคนนี้บังคับให้แกอยู่ใช่ไหม? แม่อยู่ตรงนี้แล้ว มันไม่กล้ารังแกหรอก!"

ด้วยประเด็นร้อนแรง เพื่อนบ้านรอบข้างจึงออกมาดู ทำให้ฉีฉีอึดอัดมาก

"แม่ ไม่ใช่แบบนั้น เราเข้าไปคุยข้างในเถอะ"

"แต่……"

"เรื่องบางเรื่องแค่เรารู้ก็พอ จะมายืนอยู่ข้างนอกให้คนอื่นเห็นเป็นเรื่องตลกทำไม ไปเถอะไปเถอะ"

ฉีฉีรีบลากแม่ของเธอกลับไปในบ้าน ในขณะที่มู่ยู่วฉีเดินตามหลังอย่างใกล้ชิด เพราะกลัวว่าจะถูกทิ้งให้อยู่ข้างนอก

“ พ่อล่ะ?”

"ไปเล่นหมากรุกกับคนอื่น" แม่ฉีฉียังยอมรับความเป็นจริงไม่ได้ เธอขมวดคิ้วและจ้องไปที่ฉีฉี พูดว่า: “ แกอยู่ห้องกับรุ่นพี่ไม่ใช่หรอ ทำไมถึงไปอยู่กับไอ่คนนี้ได้?"

ฉีฉีก้มศีรษะลงและพูดด้วยความลำบากใจ: "ที่จริง หนูไม่ได้อยู่กับเขา เขาแค่ช่วยหนูปิดบัง"

“ถ้างั้น ที่ผ่านมาแกก็โกหกเรามาตลอดหรอ?”

ฉีฉีรู้ว่าตราบใดที่เธอสารภาพ มันจะทำให้เกิดหายนะ

แต่นี่เป็นจุดจบของเรื่อง และมันก็ไม่มีอะไรดีถ้าหากปิดบังไปตลอด วันนี้มาถึงแล้ว แค่ยืดอกยอมรับชะตากรรม

หลับตาแน่น ฉีฉีพร้อมที่จะถูกแม่ของเธอทุบตี

แม่ของเธอคาดหวังการเรียนมาก เธอเองก็รู้ดี ให้แม่รู้ว่าตัวเองโกหก รู้ทั้งรู้ว่าจะโดนโกรธแค่ไหน

แต่เมื่อฉีฉีคิดว่าแม่ของเธอจะอารมณ์เสีย แต่แม่ของเธอกลับแค่ถอนหายใจเฮือกใหญ่

ฉีฉีตกตะลึง เมื่อเธอได้ยินเสียงถอนหายใจเศร้าของแม่

เงยหน้าขึ้น ฉีฉีเห็นสีหน้าที่ผิดหวังของแม่ เธอรู้สึกเจ็บปวดมาก

"แม่……"

“เห็นท่าทีที่อยู่กับรุ่นพี่ของแก แม่ก็ดูออกแล้วว่ามีปัญหากัน แต่ตอนนั้นแม่พยายามคิดว่าแม่คิดไปเองหรือเปล่า แต่ไม่คิดว่า......"

แม่ของฉีฉีส่ายหัวครั้งแล้วครั้งเล่าและพูดว่า: "รุ่นพี่แสนดีขนาดนั้น ทำไมแกไม่ยอมรับเขา? มีอะไรสำคัญไปกว่าชีวิตที่ดีอีก "

เมื่อได้ยินแม่ของฉีฉีชมรุ่นพี่คนนั้น เขาก็อดไม่ได้ที่จะแนะนำตัวขึ้นมา: "คุณน้าครับ ที่จริงผมเองก็แสนดีเหมือนกันนะ"

แม่ของฉีฉีเงยหน้ามองมู่ยู่วฉีแล้วพูดว่า: "ใช่ เรารู้มาตลอดว่าเธอดี แต่ฉีฉีของเราไม่ดีพอ เทียบกับเธอไม่ได้"

"ทำไมพูดแบบนี้ ฉีฉีอยู่ในใจผม เธอคือคนที่ดีที่สุด" มู่ยู่วฉีพูดเบาๆและหันไปสบตากับฉีฉี พูดอย่างอ่อนโยนว่า "เธอเป็นคนใจดีและน่ารัก แข็งแกร่ง ทำงานหนักได้ เธอเป็นผู้หญิงที่ดีที่สุด"

คำบมของมู้ยู่วฉีทำให้ฉีฉีรู้สึกอบอุ่นในหัวใจ ทั้งๆที่เมื่อกี้เธอยังกังวลมาก ตอนนี้มันค่อยๆผ่อนคลายลง

“ แม่ แล้วพ่อ......”

“นิสัยของพ่อแกเป็นยังไง แกไม่รู้หรอ? ครั้งนี้ เขาคงผิดหวังมากจริงๆ”

ฉีฉีไม่เต็มใจมาก เธอยังไม่ได้พูดอะไรและพ่อของเธอก็ไม่เข้าใจสถานการณ์ ทำไมพ่อถึงทำตามอำเภอใจและไม่ฟังคำอธิบายใดๆเลย?

ฉีฉีกระทืบเท้าอย่างสลดใจและพูดว่า: "พ่อนี่ดื้อจริงๆเลย"

"จะให้เขายอมรับตอนนี้ คงเป็นไปไม่ได้หรอก ค่อยๆคุย"

ฉีฉีไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากต้องออกจากบ้านกับมู่ยู่วฉี

ครั้งนี้ฉีฉีเดินอย่างไม่เต็มใจ มองย้อนกลับไปทีละก้าว หวังว่าพ่อจะเดินออกจากห้องมาตามตัวเอง

แต่พ่อของฉีฉีไม่ได้ออกจากห้อง จนกว่าฉีฉีจะเดินออกจากบ้าน

ฉีฉีจากไปด้วยความผิดหวัง แม่ของฉีฉีเปิดประตูและเดินไปหาพ่อของฉีฉีและถามว่า: "คุณจะไม่สนลูกจริงๆหรอ?"

พ่อฉีฉีเขย่าถ้วย ชาในถ้วยก็ลอยขึ้นและลง ความร้อนก็ทำให้ดวงตาของเขาคละคลุ้งเป็นเวลานานกว่าเขาจะพูด

"ถ้ายอมรับง่ายๆแบบนั้น ไอ่เด็กที่นามสกุลมู่ก็จะคิดว่าตัวเองสูงส่ง และจะมองฉีฉีต้อยต่ำ"

“ คุณไม่คัดค้านเหรอ?”

"คุณคัดค้านแล้วมันได้ผลไหม? ลูกก็โตแล้ว พวกเราก็ทำได้แค่ปกป้องเธอด้วยวิธีของเรา"

หลังจากฟังพ่อของฉีฉีพูด แม่ของฉีฉีก็เงียบและไม่พูดอะไร

ทั้งสองคนนั่งอยู่ในห้อง รู้สึกอึดอัดเล็กน้อยในใจ

ในขณะนี้ ฉีฉีเองก็อารมณ์ไม่ดี

ฉีฉีเป็นเด็กดีมาตลอด ไม่เคยทำให้พ่อแม่ผิดหวัง

แต่ตอนนี้ เธอทำให้พ่อแม่ผิดหวังและไม่รู้ว่าเมื่อไหร่พวกเขาจะให้อภัยตัวเอง

เมื่อนึกถึงสิ่งนี้ ดวงตาของฉีฉีก็เริ่มแดง

เมื่อเห็นท่าทางของฉีฉี มู่ยู่วฉีรู้สึกเจ็บปวด และพูดกับเธอว่า: “อย่าเสียใจไปเลย”

มู่ยู่วฉีไม่อ้าปากพูดมันจะดีกว่านี้ ทันทีที่เขาพูด ฉีฉีก็โกรธขึ้นมาบ่นอย่างไม่พอใจ: "กลับมาอย่างกะทันหันจะทำให้พ่อแม่ไม่พอใจ เธอก็รู้ดี แต่ก็ยังจะทำอีก ตอนนี้เป็นไงล่ะ เรื่องทั้งหมดพังหมดแล้ว”

"เธอคิดว่าต่อให้บอกล่วงหน้าก่อน มันจะทำให้เปลี่ยนใจคุณอากับคุณน้าได้งั้นหรอ"

“แล้วทำไมเธอไม่ทำตัวดีๆตั้งแต่แรก ทำให้พ่อแม่ฉันเกลียดเธอขนาดนี้ทำไม”

“ นี่......บอกได้แค่ว่าเป็นโชค”

ดวงตาของฉีฉีเหร่ลง พยักหน้าและพูดว่า "ใช่ โชคร้ายที่ทำให้ฉันรู้จักปีศาจอย่างเธอ"

ยื่นแขนโอบไหล่ฉีฉี มู่ยู่วฉีปลอบโยน: "ยังไงเรื่องก็เกิดขึ้นแล้ว เรามาช่วยกันคิดวิธีแก้กัน ดีกว่าเอาแต่บ่นแบบนี้"

“แล้วเธอมีวิธีอะไร ไหนลองบอกฉันสิ้”

“ รอให้เธอมีเวลา พวกเราก็กลับมาหาพวกเขาบ่อยๆ ฉันจะทำกับข้าวให้กิน นั่งกินเบียร์เป็นเพื่อนพ่อ ทำให้พวกเขาสนิทกับฉัน แล้วเดี๋ยวพวกเขาจะค่อยๆยอมรับเราเอง วันนี้คือวันแรก พวกเขาไม่เอาไม้กวาดมาตีไล่ฉันก็บุญแล้ว ยังไงสักวันพวกเขาก็ต้องเห็นว่าเวบาเธออยู่กับฉันแล้วมีความสุขแค่ไหน”

คำพูดของมู่ยู่วฉีทำให้หัวใจที่เต้นแรงของฉีฉีสงบลงอย่างช้าๆ พิงไหล่ของมู่ยู่วฉีเธอพูดอย่างใจเย็น

"เธอนี่นะ พูดได้แสนหวานมาก"

“ ฉันจะเปลี่ยนคำพูดให้เป็นการกระทำ ไม่ต้องกังวล ตอนนี้เรากลับไปกินอาหารอร่อยๆ เพื่อปลอบจิตใจที่บอบช้ำกัน ดีไหม?”

หลังจากหายใจเข้าลึกๆ ฉีฉีก็นั่งตัวตรงเปลี่ยนความขุ่นเคืองให้กลายเป็นความอยากอาหารและพูดว่า: "ฉันจะกินชาบู ฉันจะสั่งเนื้อแกะสิบจาน!"

“ ได้เลย สั่งเท่าที่เธอต้องการ ถึงแฟนเธอจะช่วยอะไรไม่ได้ในด้านอื่นๆ แต่เรื่องการกินไว้ใจได้เลย!”

“ ถึงตอนนั้น ถ้าฉันจะอ้วนแล้ว เธอห้ามเปลี่ยนใจละกัน”

“ฉันสิต้องกลัวเธอเปลี่ยนใจ ชอบน้อยใจตลอดเลย กลัววันหนึ่งเธอจะไม่พูดไม่จาแล้วหนีฉันไป”

"ฉันเหมือนได้ยินคนกำลังบ่นฉันอยู่เลย"

มู่ยู่วฉีหัวเราะ "หึหึ" และรีบเปลี่ยนเรื่องพูดว่า "เกือบจะเป็นเมืองหลวงแล้ว ฉันจะโทรไปจองโต๊ะ"

......

นัดเวลาวันนี้ รวมตัวเพื่อนๆกันที่ร้านขนมของเย่ชูวเสวีย

แต่เมื่อทุกคนมาถึง ผ่านไปนานมากก็ยังไม่เห็นเย่ชูวเสียกับหนานกงเจา

เย่ชูวเสวียเป็นคนที่มักจะมาสาย ทุกคนก็ไม่ได้ใส่ใจเธอ กินและดื่ม พูดคุยกันหัวเราะอย่างเพลินเพลิน

ทันใดนั้นก็มีใครบางคนเปิดประตูวิ่งเข้ามาเหมือนกลุ่มสายลม จากนั้นก็นั่งอยู่ตรงกลางของทุกคนด้วยความโกรธบนใบหน้า

เมื่อมองไปที่คนตรงหน้าอย่างตั้งใจ ที่แท้ก็เป็นเย่ชูวเสวีย

และข้างหลังเธอตามมาด้วยหนานกงเจา ทำอะไรไม่ถูก

ต้วนอีเหยามองไปที่เย่ชูวเสวีย จากนั้นมองไปที่หนานกงเจาแล้วถามว่า: "เกิดอะไรขึ้นหรอ ทำไมชูวเสวียหายใจเข้าออกแรงขนาดนี้?"

หนานกงเจาถอนหายใจอย่างอ่อนแรงและพูดว่า: "อย่าเพิ่งถามเลย เกิดเรื่องใหญ่แล้ว"

คำพูดของเขาทำให้ทุกคนเอะใจ

"เรื่องใหญ่อะไร?"

“ ชูวเสวียไม่อยากจัดงานแต่งงานแล้ว!”

"ห้ะ?"

นี่เป็นเรื่องใหญ่จริงๆ ทุกคนตกตะลึง

แต่ก็ดีทำไมอยู่ดีๆถึงจะยกเลิกงานแต่ง? มีปัญหาความสัมพันธ์ระหว่างสองคนนี้หรือเปล่า?

เมื่อต้องเผชิญกับสายตาที่สงสัยของทุกคน หนานกงเจารีบโบกมือและพูดว่า: "เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับฉัน ความคิดของเธอล้วนๆ เธอเองก็ไม่ปรึกษาฉันสักคำ"

ปรากฎว่าปัญหาอยู่ที่เย่ชูวเสวีย

เมื่อรู้ตัวต้นเหตุแล้ว ทุกคนเริ่มจ้องมองไปที่เธอ

"ชูวเสวีย ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น มีอะไรก็ค่อยๆคุยกัน เธอจะเป็นเจ้าสาวอยู่แล้ว อย่ามาทำตัวโกรธเหมือนเด็กๆแบบนี้สิ "

"นั่นหนะสิ เธอกับหนานกงเจากว่าจะผ่านมาถึงวันนี้ได้ก็ไม่ใช่ง่ายๆ แทนที่จะอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข ทำไมถึงมาเลิกกัน"

“แถมเธอทำแบบนี้จะทำให้คุณลุงและคุณป้าอับอาย”

ด้วยเสียงที่พูดปลอบเธอของทุกคน เย่ชูวเสวียพูดด้วยใบหน้าที่สงบและไม่ลังเล: "ฉันไม่ได้โกรธ นี่เป็นสิ่งที่ฉันคิดมาอย่างดีแล้ว ฉันเบื่อกับรายละเอียดที่ไม่มีที่สิ้นสุดของการวางแผนงานแต่ง ฉันอยากหนีจากมัน! "

วางแผนงานแต่งงาน? มันเสร็จหมดแล้วไม่ใช่หรอ?

หลังจากได้ยินสิ่งที่เย่ชูวเสวีย พูดทุกคนก็ยิ่งสับสน

หันไปมองหนานกงเจา ต้วนอีเหยาถามอีกครั้ง: "หนานกง เกิดอะไรขึ้นกันแน่?"

“ต้นฉบับการออกแบบชุดแต่งงานของนักออกแบบชุดแต่งงานสูญหาย ต้องมีการวัดผลใหม่เนื่องจากความล่าช้าวัสดุที่เลือกก็เลยหมดสต็อกและไม่สามารถรับประกันผลลัพธ์ที่ดีที่สุดได้ เพราะงั้นเลยต้องเปลี่ยนเป็นชุดอื่น ถ้าเปลี่ยนชุดแต่งงานก็ต้องเปลี่ยนทุกอย่าง โต๊ะอาหาร การตกแต่งทั้งหมด”"

มันเป็นแบบนี้นี่เอง

หลังจากฟังเหตุและผล ทุกคนก็โล่งใจ รู้สึกว่าเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องใหญ่

จับไหล่ของเย่ชูวเสวีย เซี่ยอันนาพูดว่า: "แค่เรื่องเล็กๆแค่นี้ เธอก็จะไม่แต่งแล้วหรอ? มันเลอะเทอะเกินไปแล้ว"

เย่ชูวเสวียดูโกรธมากและพูดว่า: "นี่เป็นเรื่องเล็กหรอ พวกเธอรู้ไหมตอนที่ฉันเลือกของพวกนี้ ฉันเกือบตาย! ฉันที่ตาจะบอดอยู่แล้ว ยิ่งจ้องอยู่กับพวกนี้ทั้งวัน เกือบเห็นหงส์เป็นอีกา! ให้ฉันเลือกมันอีกครั้ง ฉันต้องตายจริงๆแน่!!”

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: วิวาห์สายฟ้าแลบ กับคุณสามีผู้ลึกลับ