วิวาห์สายฟ้าแลบ กับคุณสามีผู้ลึกลับ นิยาย บท 562

เย่ชูวเสวียรู้สึกกระวนกระวายมาก เธอตัวสั่นไปหมดขณะที่พูด

ฉีฉีจับมือของเย่ชูวเสวียแล้วพูดว่า: "เรื่องแบบนี้ใครก็ไม่อยากให้เกิดขึ้นหรอก ถึงยังไงก็เกิดขึ้นแล้ว เผชิญกับมันเถอะ จะยกเลิกงานแต่งเพียงเพราะอารมณ์หรอ ไม่สนใจความรู้สึกหนานกงเจาหน่อยหรอ? เขาเสียใจมากนะ”

“ไม่ใช่ไม่สน เราจะจดทะเบียนสมรส จากนั้นก็ออกไปฮันนีมูน ชอบที่ไหนก็ไปที่นั่น!”

เย่จิงเหยียนถามเบาๆ: "พ่อแม่รู้เรื่องนี้หรือยัง? "

"ยังไม่รู้เลย"

เย่จิงเหยียนถอนหายใจออกมาและพูดว่า: "ฉันก็ว่าพวกเขายังไม่รู้แน่นอน ไม่งั้นคงโทรหาฉันให้พาแกกลับไปแล้ว"

เย่ชูวเสวียกำหมัดแน่น รู้สึกความตายกำลังรออยู่ที่บ้านและพูดว่า: "ครั้งต่อให้จะเอาตัวฉันกลับไป ฉันก็ไม่เปลี่ยนใจ ฉันจะเลือกชีวิตของฉันเอง!"

ทุกคนมองกันและกัน เห็นแววตาที่ทำอะไรไม่ถูกของกันและกัน

“ เอาล่ะ ถ้าเธอตัดสินใจแล้วฉันก็จะไม่ขัดค้าน แต่ว่าอย่ามาเสียใจทีหลังก็แล้วกัน”

"ฉันจะเป็นอิสระแล้ว ฉันจะเสียใจได้ไง ดีใจไม่ไหวแล้ว พวกพี่ไม่ต้องมาห้ามฉัน!!"

“เอาล่ะเอาล่ะ ไม่ห้ามแกหรอก แกตัดสินใจเอง มาสายขนาดนี้คงหิวแล้วล่ะสิ มากินอะไรก่อนเร็ว"

ทุกคนเปลี่ยนเรื่องอย่างรวดเร็ว ดูเหมือนว่าจะยอมรับการตัดสินใจที่บ้าคลั่งของเย่ชูวเสวีย

สิ่งนี้ทำให้เย่ชูวเสวียรู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย

“พวกเธอไม่พูดอะไรหน่อยหรอ?”

เซี่ยอันนายักไหล่และพูดว่า: "จะพูดมากไปทำไม ยังไงเธอก็ไม่ฟังอยู่ดี เสียเวลาเปล่าๆ"

"ถ้าอย่างนั้นฉันจะกินชีสอันนี้ แล้วมอคค่าด้วย"

"แต่ละอย่างแคลสูงมาก เธอไม่ลดน้ำหนักแล้วหรอ?"

“ไม่ต้องใส่ชุดเจ้าสาวแล้วนิ จะลดอีกทำไม วันนี้ฉันจะกินให้แหลก ชอบอะไรก็จะกินอะไร”

เซี่ยอันนาตบโต๊ะและพูดว่า: “ดีเลยชอบอะไรก็กิน ฉันก็จะมอคค่า และแบล็คฟอเรสต์อีกหนึ่งชิ้น"

ในขณะที่พูด ดวงตาของเซี่ยอันนาก็ส่องประกาย

สองสามวันมานี้ฉีฉีมาหาเซี่ยอันนาตลอด ทุกครั้งที่เจอเธอ เธอก็กำลังกินของกินตลอดเลย มันทำให้ฉีฉีแปลกใจ

“ อันนา ช่วงนี้ดูเธอเจริญอาหารจัง”

"ก็ฉันหิวนี่ ก่อนหน้านี้ฉันไม่ได้กินอะไรเลยต้องรักษารูปร่าง โอย เป็นดารานี่มันลำบากจริงๆ"

“แล้วตอนนี้คิดได้แล้วหรอ?”

“ ชีวิตมันสั้น อยากกินอะไรก็ต้องรีบกิน จะให้ฉันรอจนฟันร่วงหมดปากแล้วมานั่งดมกลิ่นอาหารอย่างเสียใจหรอ?”

หลังจากที่เสี่ยวอวี้หลินได้ยินสิ่งนี้ เขาก็ยิ้มอย่างช่วยไม่ได้และพูดว่า: "พูดเหมือนว่าฉันกำลังทำร้ายเธอเลย ถ้าเธอรู้สึกลำบากจริงๆ งั้นกลับมาอยู่บ้านไหม ฉันจะเลี้ยงเธอเอง"

"เกี่ยวอะไรกับเลี้ยงฉัน ตอนนี้ฉันต้องการอาหารที่แสนหวาน ไม่ใช่ผู้ชายที่แสนดี"

เมื่อถูกรังเกียจด้วยวิธีนี้ เสี่ยวอวี้หลินรู้สึกเจ็บปวด แต่เขาก็ยังอยากทำให้เซี่ยอันนาพอใจและถามว่า: "งั้นคืนนี้ เราไปกินปลาต้ม?"

ปลา?

ความรู้สึกแปลกๆเกิดขึ้นจากท้องของเธอ เซี่ยอันนาส่ายหัวทันทีด้วยความรังเกียจแล้วพูดว่า: "ไม่เอา อย่าพูดถึงปลากับฉัน!"

เมื่อเห็นเซี่ยอันนาดูไม่สบายใจ เสี่ยวอวี้หลินจึงรีบพูดว่า: "เธอไม่สบายท้องอีกแล้วเหรอ? ห้ะ หิวบ่อยมากแต่กินนิดเดียว กระเพาะเธอจะมีปัญหานะ"

“ พอเถอะ อย่ามาจุกจิก!”

เซี่ยอันนาหงุดหงิดเล็กน้อยและดุเธออย่างใจเย็น

เสี่ยวอวี้หลินไม่อยากทำให้เธอไม่มีความสุข ดังนั้นเขาจึงกลายเป็นเด็กดี

เมื่อมองไปที่คนบนโต๊ะ ฉีฉีเอียงศีรษะและกระซิบกับมู่ยู่วฉี: "วันนี้ทุกคนเป็นอะไรกันหมด รู้สึกแปลกๆ"

"อย่าต้องพูดอะไรมากหรอก คอยดูต่อไปเดี๋ยวก็จะมีคำตอบเอง”

ฉีฉีอยากพูดอะไรอีก แต่ต้วนอีเหยาก็เริ่มตั้งคำถาม

“ พวกเธอเตรียมตัวจะไปกันเมื่อไหร่?”

คำพูดเหล่านี้ทำให้ เย่ชูวเสวียตกตะลึงและถามว่า "ไป? ไปไหน?"

“ก็เธอบอกไม่ใช่หรอ ยกเลิกงานแต่งแล้วก็จะออกไปเที่ยว”

"อ้า อืม ฉัน......ฉันยังไม่ได้ตัดสินใจเลย" เย่ชูวเสวียหันไปมองหนานกงและถามว่า "หนานกง เธอมีความคิดดีๆไหม?"

“งั้นไปที่ใกล้ๆ ประเทศไทยดีไหม?”

เย่ชูวเสวียลืมตาโตและพูดว่า: "นี่เป็นทริปฮันนีมูน ฉันอยากมีช่วงเวลาที่ ไปที่ไกลๆหน่อยไม่ได้หรอ"

“ แล้วเธออยากไปไหนล่ะ?”

"ฉันอยากไปยุโรปเหนือ ไปสักสองสามเดือนค่อยกลับมา"

เมื่อเสี่ยวอวี้หลินได้ยินดังนั้น เขาก็หัวเราะและพูดว่า: "เที่ยวนานขนาดนั้นเลยหรอ"

เย่ชูวเสวียขมวดคิ้วและมองไปที่เสี่ยวอวี้หลิน เย่ชูวเสวียพูดว่า: "ใครบางคนไปนานกว่าฉันอีก ยังมีหน้ามาบอกฉัน?"

“ เอ่อ ฉันไม่ได้บอกไม่ดีนิ”

ขนมมาเสิร์ฟ เย่ชูวเสวียเปลี่ยนความเศร้าโศกและความโกรธเป็นความอยากอาหารของเธอ หันไปมองชีสทันที

เย่จิงเหยียนเปิดปากของเขาอย่างกะทันหันและถามว่า: "แล้วเธอจะตัดสินใจบอกกับพ่อแม่เมื่อไหร่?"

เย่ชูวเสวียอ้าปากค้างและพูดอย่างคลุมเครือ: "ตอนที่ฉันจองตั๋วและกำลังจะออกจากเมือง"

"เล่นเอาแบบนี้เลยหรอ?"

"ถ้าไม่อย่างนั้น บอกให้พ่อแม่รู้ก่อน พวกเขาจะไม่เห็นด้วยกับฉัน ฉันทำได้แค่ออกจากเมือง ออกจากการควบคุมของพวกเขา ฉันถึงจะทำตามใจตัวเองได้"

เย่จิงเหยียนถอนหายใจออกมาอย่างเย็นชาและพูดว่า :"ทิ้งระเบิดลูกใหญ่ไว้แล้วค่อยให้พ่อแม่รู้ แกโดนตีขาลายแน่"

"ถ้างั้นก็ค่อยบอกให้พวกเขารู้ทีหลัง ถึงตอนนั้นก็พาเจ้าตัวเล็กกลับมาด้วย พวกเขาจะตีลงได้ไง"

ทันทีที่พูดแบบนี้ ทุกคนก็มีสีหน้าตลกๆและทำอะไรไม่ถูก

คนเป็นพ่อ เย่จิงเหยียนไม่เห็นด้วยอย่างยิ่งกับแนวทางของเย่ชูวเสวีย ทำหน้าบึ้งและพูดว่า: "เด็กมาเพื่อเอ็นดูเลี้ยงดู ไม่ใช่เอามาเป็นเกาะป้องกัน"

“แม่กำลังจะไม่มีชีวิตรอดแล้ว ขอยืมชื่อมาใช้แบบนึงไม่ได้หรอ จะให้แกเป็นเด็กที่ไม่มีแม่หรือไง?”

เย่ชูวเสวียไม่มีข้อห้าม แต่หนานกงเจาส่ายหัว

"ชูวเสวีย อย่าพูดไร้สาระ!"

“ ฉันก็ไม่อยากพูด พี่ถามฉันก่อนนิ”

ในขณะที่พูดเย่ชูวเสวียก็ทำหน้าลองดีให้เย่จิงเหยียน

เย่จิงเหยียนขี้เกียจจะเถียงกับเธอ หันกลับไปดูแลต้วนอีเหยาที่อยู่ข้างๆ

ฉีฉีนั่งเฉยๆและดูความตื่นเต้นด้วย เธอพบว่าเซี่ยอันนากินขนมที่อยู่ตรงหน้าเธอจนหมด เร็วกว่าเย่ชูวเสวียเสียอีก

มองไปที่เสี่ยวอวี้หลิน ฉีฉีถามว่า: "เธอขโมยขนมของเธอหรือเปล่า?"

เสี่ยวอวี้หลินยิ้มและพูดว่า: "ฉันยังไม่มีโอกาสขโมย เธอก็กินหมดแล้ว"

ฉีฉีรู้ว่าความอยากอาหารของเซี่ยอันนา ปกติเธอกินอาหารไม่ได้มากขนาดนี้ ต่อให้จะหิวแค่ไหนก็ตาม

ในทางกลับกัน เซี่ยอันนาในขณะนี้ราวกับว่าเธอยังไม่อิ่ม มีสีหน้าที่ยังไม่พอใจ

เซี่ยอันนาแบบนี้ มันน่าแปลกจริงๆ

เอียงศีรษะและมองไปที่เซี่ยอันนา ฉีฉีรู้สึกงงงวย

และต้วนอีเหยาที่นั่งอยู่ข้างเธอก็ลังเลที่จะพูด

“ ฉันรู้สึกว่าอันนา ดูเหมือนจะ...... ”

ต้วนอีเหยายังพูดไม่จบ แต่ฉีฉีได้ยินมันอยู่ในใจ

มองไปที่ต้วนอีเหยา ฉีฉีถามว่า: "เหมือนอะไรหรอ?"

ต้วนอีเหยายิ้มและพูดว่า: "เฮ้อ เรื่องแบบนี้จะพูดมั่วไม่ได้ รอข่าวดีจากอันนาดีกว่า "

เรื่องอะไรกัน? ทำไมต้องเก็บเป็นความลับ?

สีหน้าของฉีฉีเต็มไปด้วยความสงสัย แต่ต้วนอีเหยาได้หันไปคุยกับคนข้างๆแล้ว ไม่ได้ตั้งใจจะอธิบายให้ฉีฉีฟัง

หลังจากสนทนากันสักพัก เย่จิงเหยียนก็พยุงต้วนอีเหยาขึ้นและพูดว่า: "ใกล้จะค่ำแล้ว ฉันจะพาอีเหยากลับไปพักผ่อนแล้ว พวกแกสนุกกันต่อเลยนะ"

เซี่ยอันนาก็ยืนขึ้นและถามว่า: "พี่อีเหยา กินอิ่มแล้วหรอ?"

“ฉันอิ่มมาก เธอล่ะ อิ่มบ้างหรือยัง?”

“ถึงยังไงก็เป็นแค่ของหวาน ยังไม่ใช่มื้อหลัก เดี๋ยวค่อยกินอีก”

ยังจะกินอีกหรอ?!

ฉีฉีแสดงสีหน้าที่เหลือเชื่อ

ตั้งแต่พวกเขาเข้ามาในร้านขนม ปากของเซี่ยอันนายังไม่เคยหยุดกินเลย

เค้ก คุกกี้ ชานม ชีสเค้ก......ทั้งหมดนี้ต่อให้ไม่ใช่มื้อหลักก็น่าจะอิ่มมากแล้วนะ

ภายใต้สายตาที่ตกตะลึงของฉีฉี ต้วนอีเหยาพูดว่า: "ครั้งหน้าละกันนะ เราค่อยนัดกินข้าวกัน จะกินอะไร พวกเธอตัดสินใจเลย"

"ได้เลย อะไรก็ได้ที่ไม่ใช่ปลาต้ม ฉันไม่มีปัญหา"

"อืม"

ต้วนอีเหยายิ้มอ่อนๆก่อนที่จะเดินออกไป

ต้วนอีเหยานั่งอยู่ในรถกับเย่จิงเหยียน แล้วเอนหัวพิงไหล่ของเย่จิงเหยียน

“เป็นอะไรไป เหนื่อยหรอ?”

ต้วนอีเหยาส่ายหัวและถามว่า :" เธอเห็นด้วยที่จะให้ชูวเสวียไปจริงๆหรอ?"

“จะปล่อยไปได้ไง ผู้ใหญ่ที่บ้านจัปล่อยให้เธอมองข้ามหัวไม่ได้”

"แล้วเธอจะทำยังไง ตักเตือนเธอหรอ? "

"เรื่องปวดหัวแบบนี้ฉันไม่อยากไปยุ่งหรอก เดี๋ยวก็มีคนจัดการเอง"

ต้วนอีเหยายิ้มและพูดว่า: "เรื่องแบบนี้ใครจะอยากไปทำกันล่ะ"

“ มีน หนานกงเจาเป็นคนคิดบวกจะตาย”

ต้วนอีเหยานึกไม่ออกและถามว่า: "หนานกงเจาก็ต้องอยู่เคียงข้างชูวเสวีย จะหาเรื่องให้ตัวเองทำไม?"

"มันง่ายมาก ชูวเสวียไม่เห็นด้วยกับงานแต่งงานและเราก็ไม่เห็นด้วยกับการแต่งงานของเธอ แบบนี้หนานกงเจาจะใช้สมองของเขาอย่างแน่นอน เพื่อหาทางเกลี้ยกล่อมให้ชูวเสวียเข้าร่วมงานแต่งงานอย่างเชื่อฟัง"

หลังจากฟังคำพูดของเย่จิงเหยียน ต้วนอีเหยาก็แสดงสีหน้างุนงง

“ ที่รัก เธอนี่มัน...... ”

“ฉลาดมาก ใช่ไหม?”

“ เปล่า เจ้าเล่ห์มาก”

เย่จิงเหยียนยิ้มและพูดว่า: "ช่วยไม่ได้ ก็เวลาส่วนตัวของฉันต้องอยู่กับพวกเธอสองแม่ลูกนี่"

มองขึ้นไปที่เย่จิงเหยียน ต้วนอีเหยายิ้มและถาม: "ยังไม่เคยไปอัลตร้าซาวด์เลย รู้ได้ไงว่าเป็นผู้หญิง?”

“ ฉันมีลางสังหรณ์ คราวนี้ฉันจะได้ลูกสาวแน่นอน”

“ ถ้าเป็นเด็กผู้ชายล่ะ?”

"งั้นก็ค่อยลุ้นครั้งต่อไป"

คำพูดเหล่านี้ทำให้ต้วนอีเหยาถอนหายใจ: "หึ พูดง่ายจริงๆ คนท้องไม่ใช่เธอนิ!"

เขาเอาคางถูเส้นผมของต้วนอีเหยา น้ำเสียงของเย่จิงเหยียนนั้นลึกล้ำและพูดว่า: "เธอเองก็ลำบากมาก ฉันรู้ ฉันจะทำงานอย่างหนักเพื่อปฏิบัติกับเธอย่างดี แค่มีพวกเธออยู่ก็เป็นสิ่งที่โชคดีที่สุดของฉัน”

หดตัวลงในอ้อมกอดที่อบอุ่นและใจดีของเย่จิงเหยียน ต้วนอีเหยารู้สึกมีความสุขมาก

มุมปากของเธอยกขึ้นเล็กน้อยและต้วนอีเหยาพูดว่า: "ฉันโชคดีมาก ผ่านมาตั้งนานแล้วยังอยู่ข้างๆเธอ"

“ น่าเสียดายที่ชูวเสวียมีคนดีๆอยู่ข้างๆแต่ไม่รู้ ไม่หวงแหนความสุขที่อยู่ตรงหน้า เธอเอาแต่ใจขนาดนี้ หนานกงเจายังทนอยู่ข้างๆ”

“ แล้วเรื่องของชูวเสวีย เธอจะบอกพ่อกับแม่เมื่อไหร่?”

“ฉันว่าจะไม่บอก”

"ห้ะ?"

เมื่อมองลงไปที่ดวงตาที่ประหลาดใจของต้วนอีเหยา เย่จิงเหยียนจูบเธอที่แก้มและพูดเบาๆ: "งานแต่งจะดำเนินไปตามปกติ"

“ทำไมเธอมั่นใจขนาดนี้ หนานกงเจามีวิธีจัดการแล้วหรอ?”

"ถ้าแค่นี้เขายังจัดการไม่ได้ ก็ไม่มีคุณสมบัติจะมาเป็นลูกเขนตระกูลเย่"

“เธอนี่นะ เจ้าเล่ห์จริงๆเลย”

แม้ว่ากำลังบ่น แต่ต้วนอีเหยาก็ยังคงมีรอยยิ้มอยู่บนใบหน้าของเธอและดูเหมือนเธอจะไม่สนใจ

......

เนื่องจากสภาพจิตใจของเธอไม่ดีนัก เซี่ยอันนาจึงพักงาน อยากพักผ่อน

คนบ้างานทำงานมานาน เซี่ยอันนาไม่รู้วิธีผ่อนคลายจะทำยังไงแล้ว

โชคดีที่เธอมีเพื่อนสนิทที่สามารถช่วยแก้ปัญหานี้ได้ เมื่อเซี่ยอันนามีเวลาว่างเธอจะใช้เวลาร่วมกับเธอ

ทั้งสองพบกันเพื่อดื่มชาและพูดคุยกันข้างทาง จากนั้นไปทำเล็บและไปช้อปปิ้ง

แต่ในขณะที่กำลังดื่มชาเซี่ยอันนาได้รับโทรศัพท์จากเย่ชูวเสวียและรีบถามเธอว่าเธออยู่ที่ไหน

เซี่ยอันนาบอกสถานที่ ก่อนที่เธอจะถาม เย่ชูวเสวียก็วางสายโทรศัพท์

"เกิดอะไรขึ้น?"

เซี่ยอันนายักไหล่และพูดว่า: "ฉันไม่รู้ เดี๋ยวก็คงเห็นชูวเสวียแล้วล่ะมั้ง”

ประมาณครึ่งชั่วโมงต่อมา เย่ชูวเสวียเปิดประตูและเดินเข้ามามองไปรอบๆอย่างรีบร้อน

เซี่ยอันนาและฉีฉีต่างสับสน ยังไม่ทันถาม เย่ชูวเสวียก็เดินเข้าไปหลบในห้องน้ำ

"ส่วนพี่อีเหยา ให้เป็นครสุดท้ายช่วยการตรวจดูเพื่อไม่ให้มีอะไรผิดพลาด"

ต้วนอีเหยามีบุคลิกที่สงบและเธอมีความมั่นใจ

หลังจากได้ยินคำพูดของเซี่ยอันนา เย่ชูวเสวียก็เงียบและไม่ต่อต้านการพูดถึงงานแต่งงานอีกต่อไป

เซี่ยอันนากางมือทั้งสองข้างออกแล้วพูดว่า: "ดูสิ เรื่องนี้แก้ไขได้ด้วยวิธีง่ายๆ มันไม่ใช่ปัญหาอะไรเลย ทำไมต้องมาผิดใจกับหนานกงเพราะเรื่องแค่นี้ ไม่คุ้มเลย"

"จริงด้วย ทำไมฉันถึงคิดไม่ได้ว่าขอให้พวกเธอช่วยได้"

เมื่อเห็นเย่ชูวเสวียสงบลง เซี่ยอันนาก็นั่งข้างๆเธอและรินชา แล้วพูดว่า: "เธอนี่นะ แค่พยายามแก้ปัญหา แก้ง่ายๆ แต่เธอทำให้มันซับซ้อน "

ขณะที่ยกถ้วยน้ำชา เย่ชูวเสวียสงบลงมาก ราวกับว่าปัญหาที่ทำให้ปวดหัวได้รับการแก้ไขแล้ว

หลังจากจิบชาร้อนแล้ว เย่ชูวเสวียถามว่า: "มีวิธีดีๆแบบนี้ ทำไมไม่บอกฉันแต่แรก สองสามวันมานี้ฉันกินไม่ได้ นอนไม่หลับเลข ผอมหมดแล้ว"

"ก็เธอเอาแต่จะออกไปเที่ยว พวกเราเคารพการเลือกของเธอตราบใดที่เธอมีความสุข แต่ตอนนี้เธอไม่มีความสุข พวกเราก็ต้องช่วยเธออยู่แล้ว”

คำพูดของเซี่ยอันนาทำให้เย่ชูวเสวียไม่สามารถเถียงได้ ดังนั้นเธอจึงได้แต่บ่นด้วยเสียงต่ำ: "อะไรเธอก็แย่งไปพูดหมดเลย"

“ แล้วเธอเห็นด้วยไหม?”

"เห็นด้วยอย่างไม่เต็มใจ"

"ถ้างั้นก็ตกลงตามนี้ ฉันโทรหาหนานกงก่อน ตอนนี้เขาคงกำลังจะเป็นบ้า"

เซี่ยอันนาไปโทรหาหนานหง ฉีฉีพูดติดตลกข้างๆเธอว่า: "ฉันเดาว่าทุกคนในโรงน้ำชานี้รู้ว่ามีผู้หญิงคนหนึ่งชื่อชูวเสวีย"

ใบหน้าของเย่ชูวเสวียเต็มไปด้วยความเขินอายและพูดว่า: "คนบ้าจริงๆ"

“ เธอไม่เห็นหรอกว่าเขากังวลมากแค่ไหน เธอนี่นะ อย่าทรมานเขาอีกเลย”

หลังจากที่โทรหาหนานกงไม่นาน เขาก็รีบมาหาชูวเสวีย

เย่ชูวเสวียไม่คาดคิดว่าจะเจอหนานกงเจาเร็วขนาดนี้ เธอตกตะลึง

“ เธอ.......ทำไมกลับมาเร็วขนาดนี้?”

หนานกงเจาดูเหนื่อยล้าและพูดว่า: "ฉันไม่ได้ไปไหน รออยู่ข้างล่าง"

"ทำไมไม่ไป รอให้โดนด่าหรือไง?"

หนานกงเจากอดเย่ชูวเสวียไว้ในอ้อมแขนของเขา หนานกงเจาพูดด้วยความรักว่า: "ใช่ ฉันกลัวว่าเวลาที่โกรธจะไม่มีใครให้เธอด่า แล้วเก็บมันไว้ในใจ จะทำร้ายตัวเองเปล่าๆ"

สถานการณ์ตอนนี้ ไม่ควรมีคนรอบข้างอยู่เลยจริงๆ

ไม่ได้กังวลว่าเย่ชูวเสวียกับหนานกงเจาจะไม่เป็นตัวของตัวเอง แต่อันนากับฉีฉีกำลังตาร้อนเป็นไฟ

สะกิดอันนา ฉีฉีพูดกับทั้งสองคนตรงหน้า: "ถ้างั้น พวกเธอสองคนค่อยๆคุยกันนะ พวกเราไปซื้อของก่อน"

เซี่ยอันนายิ้มด้วยสีหน้าขี้เล่นและพูดว่า: "อืม หวังว่าตอนที่พวกเรากำลังซื้อของ พวกเธอจะไม่ทะเลาะกันอีกนะ"

“ เอาล่ะ เราไปกันเถอะ”

หลังจากเซี่ยอันนาและฉีฉีจากไป หนานกงเจาไม่มีท่าทีขัดขืน ก้มศีรษะลงมองคนที่อยู่ในอ้อมแขนของเขาด้วยสายตาที่อ่อนโยนและถามว่า: "ชูวเสวีย เธอไม่โกรธแล้วหรอ?"

"ใครบอก ฉันยังโกรธมากอยู่" ผลักหนานกงเจาออกไปทันที เย่ชูวเสวียพูดด้วยใบหน้าที่จริงจัง: "ฉันขอถามหน่อย ทำไมเธอยังแอบจัดงานแต่งลับหลังฉัน?"

หนานกงเจายื่นมือออกมาลูบผมของเย่ชูวเสวียและพูดด้วยความอ่อนโยน:“ เราไม่ใช่เด็กๆแล้วและเราไม่สามารถใช้ชีวิตได้อย่างที่ต้องการ เรามีหน้าที่รับผิดชอบของตัวเอง เธอไม่ชอบเตรียมงานแต่งงาน ฉันเข้าใจ พวก้ราอยู่ด้วยกันแบบนี้ได้ แต่คนในครอบครัวเราล่ะ พวกเขาจะยอมหรอ?"

“แล้วทำไมเธอไม่บอกฉัน?”

“เธอกำลังโกรธ ฉันบอกไป เธอก็ไม่ฟังอยู่ดี ทำได้แค่โน้มน้าวเธอช้าๆ เธอเป็นผู้หญิงที่มีเหตุผล สักวันเธอจะเข้าใจคำถามนี้ เธอไม่ชอบการจัดงาน งั้นเรื่องพวกนี้ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของฉันเอง เธอแค่เตรียมตัวให้พร้อม เป็นเจ้าสาวที่สวยที่สุด"

เย่ชูวเสวียรู้สึกประทับใจอย่างมากกับความอบอุ่นของหนานกงเจาและในเวลาเดียวกันเธอก็รู้สึกละอายใจเล็กน้อย

เมื่อเธอไม่มีความสุข เธอจะลากหนานกงเจาให้ไม่มีความสุขด้วย หนานกงเจาก็ไม่ได้ว่าอะไรสักคำ แถมยินดีที่จะอยู่ข้างๆเธอ

ผู้ชายที่ดีแบบนี้ ตัวเองยังไปโมโหร้ายใส่เขาอีกได้ยังไง?

เย่ชูวเสวียด่าตัวเองในใจ แต่เธอไม่แสดงออก เธอจึงเปลี่ยนเรื่องและพูดว่า: "เธอเป็นผู้ชาย จะจัดการได้ไง ให้เป็นเรื่องของอันนาเถอะ เมื่อกี้ฉันคุยกับพวกเธอแล้ว อันนาจะช่วยเรา”

เมื่อได้ยินสิ่งที่เย่ชูวเสวียพูด หนานกงก็ผงะไปชั่วขณะและถามว่า: "เธอ......เธอไม่ยกเลิกงานแต่งแล้วใช่ไหม?"

"ฉันเป็นคนไม่มีเหตุผลเหรอ ฉันแค่โกรธนิดหน่อย ตอนนี้ไม่โกรธแล้ว ก็ไม่มีปัญหาอะไรละ"

หนานกงเจามีความสุขมาก เขาไม่คิดว่าเย่ชูวเสวียจะคิดออกได้เร็วขนาดนี้ เขารู้สึกตื่นเต้นมาก เขาดึงเย่ชูวเสวียกลับมาแล้วอุ้มขึ้น

"หนานกง วางฉันลงนะ ฉันเวียนหัวไปหมดแล้ว"

หลังจากปล่อยเย่ชูวเสวีย หนานกงเจาก็หรี่ตาและพูดว่า:"ชูวเสวีย เธอเป็นผู้หญิงที่ดีมาก ยังดีที่ฉันไม่ฟังจิงเหยียน ไม่งั้น......"

ยังไม่ทันพูดจบ หนานกงเจาตระหนักว่าเขาเป็นคนตรงไปตรงมาและไม่ควรพูดในสิ่งที่ไม่ควรพูด

เพื่อชดเชยความไม่ได้ตั้งใจ หนานกงเจารีบพูดถึงเรื่องอื่นทันที

แต่เย่ชูวเสวียจับประเด็นสำคัญได้ แล้วมีสีหน้าที่สงสัย เธอถาม: "พี่ชายฉัน? เขาพูดอะไร?"

"ไม่มีอะไร"

หนานกงเจาพูดโดยใช้มือเกาผมเป็นประจำ

นี่คือท่าประจำของหนานกงเจา เพื่อปกปิดความรู้สึกผิดของเขา

เย่ชูวเสวียจ้องไปที่ดวงตาของหนานกงเจา ครึ่งขู่และครึ่งหนึ่งเล้าโลมและพูดว่า:"ต้องมีอะไรแน่ๆ ทางที่ดีเธอพูดมาซะดีกว่า"

จะพูดออกไปไม่ได้ ถ้าพูดออกไปเย่ชูวเสวียต้องโกรธ แล้วไปคุยเรื่องนี้กับเย่จิงเหยียนอย่างแน่นอน

เพื่อที่จะทำให้เธอสงบลง หนานกงเจาจึงพยายามใช้คำพูดที่อ่อนโยนและพูดๆ : "มันไม่มีอะไรจริงๆ ก็แค่เขาให้คำแนะนำกับฉันและให้ฉันรักษาเธอไว้ มันจะดีกับทุกคนมากกว่า"

"จากสิ่งที่ฉันรู้เกี่ยวกับพี่ชายของฉัน เขาไม่ให้คำแนะนำเธอง่ายๆหรอก" เย่ชูวเสวียหันมาสบตา เธอจับมือของหนานกงเจาและถามว่า: "เขาขู่เธอใช่ไหม ว่าถ้าจัดการไม่ได้ ก็จะไม่ให้เธอแต่งกับฉัน?”

เฮ้อ สมควรเป็นพี่น้องจริงๆ พวกเขาเข้าใจกันมาก แม้กระทั่งน้ำเสียงข่มขู่ก็ยังเหมือนกัน

ด้วยเหตุนี้ หนานกงเจาก็ยังไม่ยอมรับ ราวกับว่าเขากำลังซ่อนอะไรบางอย่างกับเย่จิงเหยียน

แต่การสารภาพตามความเป็นจริงอาจทำให้เกิดความขัดแย้งระหว่างพี่น้องได้

ทางเลือกพวกนี้ ต้องใช้ความคิดไอคิวมากจริงๆ

หนานกงเจาดูเป็นทุกข์ ครุ่นคิดอยู่นานและพูดว่า: "เขาก็หวังดีกับพวกเรา เธออย่าเก็บมาใส่ใจเลยนะ"

ใบหน้าของเย่ชูวเสวียน่าเกลียดมากขึ้นเรื่อยๆและเธอก็พึมพำ: "อย่ามาพูดปกป้องเขาเลย พี่ชายของฉันเป็นคนเจ้าเล่ห์มาก นอกจากพี่อีเหยา เขาก็เล่นงานได้ทุกคน"

"ไม่ว่าจะยังไง ถ้าเป็นเรื่องที่ดี เชื่อเขามันก็ดีเหมือนกันนะ"

“อย่ามาพูดแทนเขาเลย เขาเป็นคนยังไง ฉันรู้ดีที่สุด” เย่ชูวเสวียกัดฟันและพูดด้วยน้ำเสียงเศร้าว่า: “ทำให้เรื่องวุ่นวายไปหมด เพราะเขาบงการแท้ๆเลย ทำไมถึงเป็นแบบนี้ไปได้! ไม่ได้ละ เรื่องจะจบแบบนี้ไม่ได้ ฉันจะเรียกร้อง!!”

“เรียกร้อง?”

"ใช่ เรียกร้อง!" เย่ชูวเสวียกำหมัดแน่นและพูดอย่างโกรธๆ: "ตั้งแต่ฉันยังเดฟ้ก ฉันถูกพี่ชายกดขี่มาตลอด คราวนี้ฉันจะสู้กลับในรูปแบบนักรบ เพื่อให้เขารู้ไม่ใช่ใครก็ได้ที่จะมาควบคุมฉันได้!”

ดวงตาของเย่ชูวเสวียเต็มไปด้วยความบ้าคลั่งและหนานกงเจากลัวว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น ดังนั้นเขาจึงพูดอย่างใจเย็น: "ช่างเถอะชูวเสวีย จิงเหยียนทำไปก็เพราะหวังดี"

“ ทำไปเพื่อหวังดี หรือว่าอยากควบคุมฉันได้กันแน่ มีแต่เขาเท่านั้นที่จะบอกได้”

“งั้น บอกการตัดสินใจกับฉันหน่อยได้ไหม?”

ทันใดนั้นเย่ชูวเสวียก็แสดงรอยยิ้มที่ชั่วร้ายออกมาแล้วพูดว่า: "ฉันคิดอะไรสนุกๆออกแล้ว จะทำให้พี่ชายประทับใจจนลืมมาลงเลย!"

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: วิวาห์สายฟ้าแลบ กับคุณสามีผู้ลึกลับ