"อืม ใช่แล้ว เริ่มศึกษาตั้งแต่ตอนนี้ก่อนเด็กจะคลอดออกมา ต้องฉลาดแน่ๆ ถ้างั้น ตอนนี้เธอพร้อมเจอเพื่อนๆหรือยัง?"
"พร้อมแล้ว"
“ ถ้าอย่างนั้นฉันจะเรียกชูวเสวียและคนอื่นๆเข้ามานะ เธอตื่นตระหนกมากตอนที่ได้ยินเกี่ยวกับเรื่องของเธอ”
คำพูดเหล่านี้ทำให้เซี่ยอันนางงงวยและถามว่า: "ทำไมเธอถึงตื่นตระหนก?"
"เพราะเธอคิดว่า เธอมัวยุ่งแต่การจัดงานแต่งของเธอ จนเหนื่อยเกินไป"
เซี่ยอันนาส่ายหัวอีกครั้งและพูดว่า: "ยัยตัวแสบคนนี้ คิดไปเรื่อยจริงๆ"
“เธอก็รู้แล้วว่าการคิดไปเองคิดไปเรื่อยมันแย่แค่ไหน เธอก็อย่าไปทำให้พวกเขาเป็นห่วงล่ะ อย่าลืมยิ้มเยอะๆ”
ต้วนอีเหยาลุกขึ้นขณะที่พูด จากนั้นไปเปิดประตู กวักมือเรียกฉีฉีและเย่ชูวเสวียที่ประตู
ในไม่ช้า เย่ชูวเสวียก็เดินเข้าไปในห้องอย่างรวดเร็ว โดยมองไปที่เซี่ยอันนา หน้าซีดด้วยความตื่นเต้น
“ อันนา!”
ฉีฉีรีบจับมือเย่ชูวเสวียและพูดว่า: "ชูวเสวีย เสียงเบาหน่อย”
เย่ชูวเสวียนึกขึ้นได้ ยิ้มอย่างขอโทษ จากนั้นก็เดินไปหาเซี่ยอันนาและพูดว่า: "อันนา ในที่สุดเธอก็ให้พวกเราเข้ามา พี่อีเหยานี่เก่งจริงๆเลย"
"ใช่ เป็นเพราะคำพูดของพี่อีเหยาทำให้ฉันคิดได้ ไม่คิดไปเองอีกต่อไป แต่ว่า ชูวเสวีย ขอโทษนะ"
คำพูดเหล่านี้ทำให้เย่ชูวเสวียงงงวยและถามว่า: "ขอโทษฉันทำไม?"
“เพิ่งสัญญาว่าจะช่วยจัดงานแต่งงานแท้ๆ ตอนนี้ฉันก็มาเป็นแบบนี้ ต้องขอโทษจริงๆ”
เย่ชูวเสวียโบกมือของเธอ ใบหน้าของเธอไม่แยแสและพูดว่า: "รู้จักกันมานานแค่ไหนกันแล้ว ยังจะมาพูดแบบนี้อีก ก็แค่งานแต่งไม่ใช่หรอ เรื่องเล็กนิดเดียว ไม่ต้องให้เธอช่วยหรอก ฉันจัดการเองได้”
หลังจากได้ยินสิ่งที่เย่ชูวเสวียพูดหลายคนก็ดูตกใจ
“ ชูวเสวีย เธอจัดการเองได้จริงๆหรอ?”
"แน่นอน ตอนแรกฉันแค่ไม่อยากวุ่นวายก็เลยขี้เกียจไปยุ่งกับมัน แต่จริงๆแล้วสิ่งเล็กๆน้อยๆนี้จะทำให้ฉันสะดุดได้ยังไง ฉันเป็นใคร เย่ชูวเสวียนะ!"
เมื่อเห็นท่าทางเย่อหยิ่งของเย่ชูวเสวีย ทุกคนก็ยิ้มออกมา
"อัยยะ ชูวเสวียคนเข้มแข็งของเรากลับมาแล้ว”
เย่ชูวเสวียจับมือของเซี่ยอันนาและพูดว่า: "ฉันเข้มแข็งอยู่แล้ว ส่วนเธออย่าคิดมากนะ ดูแลตัวเองดีๆ คลอดเจ้าตัวเล็กอ้วนๆกลมๆออกมา"
“ อืม ฉันจะพยายาม”
เมื่อเห็นทุกคนมีความสุข ทุกคนมีรอยยิ้มบนใบหน้า เซี่ยอันนาก็รู้สึกว่าเป็นเรื่องดีเมื่อมีเพื่อนอยู่เคียงข้างเธอ
หลังจากคุยกันสักพัก เซี่ยอันนาก็ต้องพักผ่อน ส่วนคนอื่นก็ออกจากห้องและแยกย้ายกลับ
ฉีฉีและเย่ชูวเสวีย ก็เดินไปลานจอดรถพร้อมคนอื่น
เมื่อนึกถึงการแสดงของเย่ชูวเสวีย ฉีฉีก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจและพูดว่า: "ไม่คิดเลยว่าเธอจะกลับมาตกลงยอมเตรียมงานแต่งของตัวเอง"
เย่ชูวเสวียลดศีรษะลง ใบหน้าของเธอไม่เงยขึ้นและพูดว่า: "แม้ว่าเธอทุกคนจะบอกว่าเรื่องของอันนาไม่เกี่ยวกับฉัน แต่ฉันก็รู้สึกว่าถ้าไม่มีอะไรมารบกวนเธอ เธอก็ไม่ต้องมีเรื่องให้คิดเพิ่ม เรื่องแบบนี้ก็คงไม่เกิด”
"แน่นอนว่าทั้งหมดนี้เป็นความคิดของฉันเอง ฉันรู้ดี ส่วนงานแต่งฉันเป็นคนแต่งเอง การเตรียมงานฉันมาเตรียมเองก็น่าจะดีกว่า"
เย่ชูวเสวียเปลี่ยนความคิดเร็วมาก เป็นเรื่องที่น่าประหลาดใจ
ในฐานะเพื่อน ฉีฉีมีความสุขมากที่ได้เห็นการเปลี่ยนแปลงของเย่ชูวเสวีย เธอพูดขึ้นว่า: "ฉันว่างมาก ถ้ามีอะไรให้ช่วย บอกฉันได้เลยนะ"
เย่ชูวเสวียยื่นมือออกไปเพื่อหยิกใบหน้าของฉีฉี และพูดด้วยรอยยิ้ม: "เวลาว่างก็ต้องแบ่งให้มู่ยู่วฉีของเธอด้วย เห็นแววตาที่เขาจ้องเธอ เหมือนหมาป่าผู้หิวโหยกำลังจะกินฉันเลย เพราะฉันเอาแต่อยู่กับเธอ บางครั้งเขาก็คงไม่พอใจ "
คำพูดเหล่านี้ทำให้ฉีฉีหน้าแดงและพูดอย่างไม่สบายใจ: "ถ้าอย่างนั้นก็ปล่อยให้เขาไม่พอใจเถอะ ฉันก็มีเพื่อนของฉัน ฉันจะอยู่กับเขาตลอดได้ไง"
"เธอแน่ใจหรอว่าจะช่วย"
"อืม"
เย่ชูวเสวียยกแขนขึ้นโอบไหล่ฉีฉี: "เอาล่ะ พรุ่งนี้ถ้าเธอมีเวลา ไปที่ร้านขายเครื่องประดับชุดแต่งงานเป็นเพื่อนฉันหน่อย จากนั้นก็ไปช่วยเลือกซื้อของ"
"ช้อปปิ้งเป็นงานอดิเรกที่ฉันชอบ ฉันไปฉันไป"
“ อืม งั้นพรุ่งนี้ฉันไปรับ ตามนี้นะ”
“ โอเค”
หนานกงเจากำลังรออยู่ที่ลานจอดรถใต้ดินและเมื่อเขาเห็นเย่ชูวเสวียเขาก็กวักมือเรียก
ในรถ เย่ชูวเสวียพูดว่า: "ส่งฉีฉีกลับโรงเรียนก่อน"
หนานกงเจาได้ยินสิ่งนี้แล้วก็ยิ้มและถามว่า: "แปลกจัง ทำไมมู่ยู่วฉีไม่มา?"
“ ฉันมาจากโรงเรียน มู่ยู่วฉียังไม่รู้”
"อ่อ ก็ว่าทำไมเธอมาคนเดียว”
ฉีฉีมีใบหน้าที่น่าสงสารและหลังจากพูดไม่กี่คำใบหน้าของเธอก็แดงเล็กน้อย
ขยับตัวอย่างไม่สบายใจ ฉีฉีพูดว่า: “แค่ติดรถมาเอง ทำไมต้องถามเยอะด้วย”
เมื่อเห็นความลำบากใจของฉีฉี เย่ชูวเสวียจึงพูดว่า: "พอเถอะ อย่าพูดอะไรแจ้ะๆแมะๆ เออใช่สิ พรุ่งนี้ฉันจะไปช้อปปิ้งกับฉีฉี เธอไม่ต้องมารับฉันแล้วนะ”
หลังจากได้ยินสิ่งนี้ หนานกงเจาก็ทำสีหน้าเหมือนจะร้องไห้ สีหน้าเหมือนถูกทอดทิ้งและถามว่า: “ ไม่ให้ฉันไปเป็นเพื่อนจริงหรอ? ฉันช่วยถือของได้เยอะนะ"
"เราไม่ได้ไปซื้อเยอะซะหน่อย มีของไม่มากหรอก แถมฉีฉีก็ไปเป็นเพื่อน เธอก็ไม่ต้องไปหรอก"
หนานกงเจาอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจและพูดว่า: "เฮ้อ ทำไมถึงรังแกฉันแบบนี้"
เย่ชูวเสวียพูดอย่างดูถูกเหยียดหยามว่า: "ทั้งๆที่เธอก็มีเรื่องให้ทำมากมาย ฉันแค่กลัวเธองานกองเป็นภูเขา"
"ใช่ใช่ใช่ เธอพูดถูก" ในขณะที่พูด รถขับไปที่ทางเข้าโรงพยาบาล มีผู้สื่อข่าวหลายคนกระตือรือร้นรออยู่
หนานกงเจาขมวดคิ้วและถามว่า: "คนพวกนั้นที่หน้าประตู คือนักข่าวหรอ?"
เย่ชูวเสวียขมวดคิ้วและพูดว่า: "เป็นปาปารัสซี่ แต่ว่า ผ่านมาตั้งหลายวันแล้ว คนพวกนี้ทำไมยังไม่ไปอีก?"
"อันนาเป็นดาราดัง เกิดเรื่องแบบนี้ พวกเขาต้องคอยตามข่าวแหละมั้ง"
เย่ชูวเสวียขมวดคิ้วและพูดว่า: "น่ารำคาญจริงๆ นี่คือโรงพยาบาลนะ ยังจะตามมารายงานข่าวอีก เดี๋ยวฉันจะลงไปสั่งสอน!"
เย่ชูวเสวียพูดขึ้น หนานกงเจาค่อยๆจอดรถ
ฉีฉีกังวลว่าเย่ชูวเสวียจะใช้อารมณ์และรีบพูดว่า: "ชูวเสวีย ใจเย็นๆ !"
อย่างไรก็ตาม ก่อนที่เย่ชูวเสวียจะลงจากรถ ปาปารัสซี่ข้างนอกดูเหมือนจะเห็นผี ทุกคนรีบถือกล้องวิ่งเข้ามา
"เกิดอะไรขึ้น?"
เย่ชูวเสวียเอียงศีรษะและพึมพำ: “ หรือว่าพวกเขารู้สึกถึงกลิ่นอายแห่งการสังหารของฉัน?
หนานกงยิ้มและพูดว่า: "มันควรเป็นกลิ่นอายของมู่ยู่วหลิน เขากำลังรำคาญคนพวกนี้ พวกนี้ยังจะวิ่งมาหาเขา แบบนี้ก็คงเป็นการรนหาที่ตาย"
อืม ข้อนี้เป็นไปได้มากกว่า
เมื่อมองไปที่สนามว่างเปล่าด้านนอก ฉีฉีก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ: "โอ้ย ช่วงนี้มีแต่เรื่องจริงๆ"
กลับมาที่โรงเรียน โรงอาหารเก็บหมดแล้ว ไม่มีอะไรให้กิน ฉีฉีกินของหวานที่หน้าโรงเรียนและซื้อซาลาเปากลับไป
หลังจากช่วงเช้าที่วุ่นวายฉีฉีหิวมาก จึงหยิบตะเกียบออกมาและเริ่มกิน
ฉีฉีกำลังมีความสุขกับการกิน โทรศัพท์มือถือของเธอก็ดังขึ้น
หยิบมันออกมาดู มันคือมู่ยู่วฉีโทรมา
“ ฮัลโหล?”
น้ำเสียงของมู่ยู่วฉีอ่อนโยนมาก เสียงที่อ่อนโยนนี้รู้สึกได้ผ่านโทรศัพท์
"ฉีฉี กำลังทำอะไรอยู่?"
“ กินข้าวเที่ยง”
“ห้ะ นี่มันกี่โมงแล้ว ทำไมเพิ่งกินข้าว? ”
“ ฉันไปโรงพยาบาลตอนเช้า เพิ่งกลับมา”
“ ไปโรงพยาบาล? ทำไมไม่บอกฉันสักคำ”
น้ำเสียงของมู่ยู่วฉีราวกับว่าฉีฉีได้ทำอะไรบางอย่างอย่างลับๆ ฉีฉีอดไม่ได้ที่จะแสดงสีหน้าทำอะไรไม่ถูกและพูดว่า: "ฉันไปหาเซี่ยอันนาที่โรงพยาบาลทุกวัน เธอเองก็รู้ไม่ใช่หรอ ฉันยังต้องรายงานเธอทุกวันอีกงั้นหรอ?”
“ ฉันไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น ก็แค่อยากเจอเธอ ฉีฉี ฉันคิดถึงเธอแล้ว”
น้ำเสียงของมู่ยู่วฉีทำให้ฉีฉีรู้สึกขนลุก
ฉีฉีถูแขนของเธอและพูดว่า: "เราเพิ่งเจอกันเมื่อวานไม่ใช่หรอ"
“ มันคือเมื่อวานนิ วันนี้เรายังไม่ได้เจอกันเลย ตอนเย็นเธอว่างไหม ไปกินข้าวกัน”
"ตอนเย็นไม่ว่าง ที่โรงเรียนมีประชุม"
ประโยคนี้ทำให้มู่ยู่วฉีผิดหวังมาก เขาพูดว่า: "กลางคืนฉันก็มีประชุมเหมือนกัน ไม่มีเวลาว่าง ดูเหมือนว่าเราคงต้องเจอกันพรุ่งนี้แล้วล่ะ”
"ฉันเกรงว่าพรุ่งนี้จะไม่ได้"
มู่ยู่วฉีรู้สึกไม่พอใจมากหลังจากได้ยินคำพูดของฉีฉี เหมือนกำลังฝันร้ายเลย
“ ทำไมถึงไม่ได้!?”
ฉีฉีกินเกี๊ยวคำนึงแล้วพูดว่า: "ฉันมีนัดกับชูวะสวียไปช้อปปิ้ง ไม่รู้ว่าจะเสร็จเมื่อไหร่"
เมื่อเห็นฉีฉีมีนัดแล้ว มู่ยู่วฉีก็อดไม่ได้ที่จะแสดงสีหน้าผิดหวังและพูดว่า: "ฉีฉี ในใจของเธอ ฉันยังสำคัญอยู่ไหม?"
"อย่ามาทำเป็นน่าสงสารหน่อยเลย ถ้างั้น พรุ่งนี้ช้อปปิ้งเสร็จเดี๋ยวฉันไปหา"
คำพูดเหล่านี้ทำให้ดวงตาของมู่ยู่วฉีโตขึ้นทันทีและถามว่า: "จริงหรอ?"
"จริงจริง จริงยิ่งกว่าไข่มุก"
“โอเค ฉันจะรออยู่ที่บริษัท ห้ามผิดนัด ไม่งั้นล่ะก็ หึหึ!”
การข่มขู่ของมู่ยู่วฉีไม่ได้ทำให้ฉีฉีตกใจ แต่ทำให้ฉีฉีหัวเราะออกมาและถามว่า: “อัยยะ มีการขู่ฉันด้วยหรอ? ไหนลองพูดมาสิ้ ไม่งั้นจะทำไม เธอจะทำอะไร?”
"ฉัน ฉันก็จะไปร้องไห้อยู่ตรงหน้าโรงเรียนเลย!"
ฉีฉีอ้าปากค้างอย่างอดไม่ได้ที่จะยิ้มและพูดโดยไม่คาดคิดว่าเขาจะพูดเช่นนี้: “ เธอนั่นมันทำได้แค่นี้จริงๆ”
"เพราะเธอนั่นแหละ ทำให้ฉันอ่อนแอ"
“อะไร มาโทษฉันหรอ?"
"ใช่ มันเป็นเพราะเธอ เธอจะต้องรับผิดชอบต่อฉันไปตลอดชีวิตของเธอ"
"หึ เอาล่ะ ไม่คุยแล้วนะ คุยต่อไปซาลาเปาของฉันต้องเย็นหมดแน่เลย"
"รีบกินเถอะ"
ฉีฉีวางสายและกินต่อ
บางทีน่าจะหิวจริงๆ ฉีฉีกินเกี๊ยวจนหมดแต่ก็ยังรู้สึกไม่อิ่ม
โอ้ย จะทำยังไงดี?
ขณะที่ฉีฉีกำลังจะไปซุปเปอร์มาร์เก็ตเพื่อซื้อขนม ก็มีคนโทรมา
คราวนี้เป็นเบอร์ที่ไม่คุ้นเคย
"ฮัลโหล?"
"ฮัลโหล ไม่ทราบว่าคุณฉีฉีหรือเปล่าครับ?"
"ใช่ ฉันเอง"
"อาหารที่คุณสั่งถึงแล้วครับ ลงมารับได้เลย"
อาหาร เธอสั่งเมื่อไหร่? หรือว่าเพื่อนร่วมห้องไม่อยู่ก็เลยให้ไปรับแทน?
ฉีฉีตัดสินใจลงไปชั้นล่างก่อน สวมรองเท้าแล้วเดินออกไป
แต่ว่า เมื่อฉีฉีเห็นชุดพิซซ่ากล่องใหญ่ เธอก็รู้สึกสงสัยเล็กน้อย
ราคาของพิซซ่านี้แพงมาก สั่งเยอะขนาดนี้คงเป็นพันแน่ๆ พื่อนร่วมห้องของเธอไม่ใช้ฟุ่มเฟือยขนาดนี้
เมื่อเห็นฉีฉีไม่ยื่นมือไปรับของ คนส่งอาหารจึงพูดขึ้น: "นี่คือชุดพิซซ่าซีฟู้ดสุดหรูที่เธอสั่ง"
“ ฉันไม่ได้สั่งของพวกนี้ คุณส่งผิดหรือเปล่า?”
คนส่งอาหารหยิบรายชื่อส่งอาหารออกมาแล้วบอกว่า: "ที่อยู่ถูกต้อง ชื่อถูกและเบอร์โทรถูกต้อง ไม่น่าผิด"
“ แล้วมีเบอร์โทรของคนสั่งอาหารไหม?”
"มี"
เมื่อมองไปที่หมายเลขโทรศัพท์สั่งซื้อ ฉีฉีก็รู้สึกงุนงง
มันเป็น มู่ยู่วฉี
เขารู้ใจตัวเองจริงๆ รู้ว่าท้องตัวเองกินม้าได้ทั้งตัว
เมื่อนึกถึงมู่ยู่วฉี ฉีฉียิ้มอย่างอบอุ่น
ฉีฉียื่นมือไปหยิบพิซซ่า: "ขอบคุณนะคะ"
กลับไปที่ห้องนอนพร้อมกับอาหารมื้อใหญ่ ก่อนที่ฉีฉีจะปิดประตู กลิ่นหอมดึงดูดนักเรียนที่อยู่ข้างๆ
"ฉีฉี ห้องเธอมีกลิ่นหอมมากเลย"
ฉีฉียิ้มให้ทุกคนอย่างใจดีและพูดว่า: "ที่นี่มีพิซซ่า มากินด้วยกันสิ"
"ว้าว ของอร่อยเต็มเลย"
เพื่อนร่วมชั้นก็ไม่เกรงใจ รีบเข้ามาในห้อง จ้องไปที่พิซซ่าจนน้ำลายจะไหลออกมาแล้ว
"พิซซ่าของร้านนี้อร่อยมาก แต่ทุกครั้งที่ไปฉันต้องต่อคิวนานและแพง ฉันเสียดายไม่กล้าซื้อกินเลย ถ้ารู้ว่าเธอจะซื้อกลับมา น่าจะฝากซื้อด้วยสักชิ้น”
"โอ้ย นี่แฟนของฉีฉีซื้อให้ เธอควต้องอิจฉาแล้วล่ะ"
"มันเป็นเรื่องจริง โอ้ย หาแฟนได้ทั้งหล่อทั้งรวยแบบนี้ก็ได้กินแต่ของอร่อย โชคดีจริงๆเลย"
ฉีฉียิ้มและพูดว่า: "ทุกคนไม่ต้องเกรงใจ กินเยอะๆเลยนะ"
สาวฟจับกลุ่มคุยกันเรื่องซุบซิบระหว่างกินพิซซ่า หัวเราะไม่หยุด
อย่างไรก็ตามเนื่องจากการสำเร็จการศึกษาใกล้เข้ามาแล้ว หัวข้อที่ทุกคนพูดคุยกันจึงมีความเกี่ยวข้องกัน
ฉีฉีนั่งข้างๆพวกเขาเงียบๆ ฟังพวกเขาคุยกัน หัวเราะและเศร้าโศก
ทันใดนั้น โทรศัพท์มือถือของเธอก็ดังขึ้น
ปรากฎว่ามันเป็นข้อความที่มู่ยู่วฉีส่งมา
“ พิซซ่าอร่อยไหม?”
ฉีฉียิ้มหวาน จากนั้นเธอส่งอิโมจิหน้าน้ำลายไหลให้เขา
"มีเยอะขนาดนี้ เธอกินไม่หมดก็เลยห่อกลับมาให้ฉันสินะ"
เมื่อมองขึ้นไปที่โต๊ะที่สาวๆกินพิซซ่าไปเกือบหมดแล้ว ฉีฉียิ้มและถ่ายรูปโต๊ะที่ยุ่งเหยิงแล้วส่งให้มู่ยู่วฉี
ตอนนี้ฉีฉีแอบดูนามบัตรของเธอและรู้ว่าเธอชื่อลินดา เธอเป็นเลขาและเธอน่าจะเป็นเลขาของมู่ยู่วฉี
ผู้หญิงที่สวยขนาดนี้ อยู่กับเขาตลอดเวลา เขาจะ.......ไหมนะ
โอ้ย บอกแล้วว่าจะไม่คิดไปเรื่อย ทำไมกลับมาคิดอีกแล้วเนี่ย
ฉีฉีส่ายหัว ห้ามไม่ให้คิดถึงเรื่องนี้
ไม่นานก็มีคนเปิดประตูและเดินเข้ามาถือขนมและเครื่องดื่มต่างๆในมือ
"คุณฉีฉี นี่คือขนมที่มู่เซ่าจัดทำขึ้นเป็นพิเศษสำหรับคุณ ทานให้อร่อยนะคะ ถ้ารสชาติไม่ถูกปาก ทางด้านนุ้นยังมีขนมอื่นอีก หยิบได้ตามต้องการเลยค่ะ”
เธอวางถาดลงใน ฉีฉีเปิดฝาออกมา ตาโตเมื่อเห็นขนมที่อยู่ข้างใน
นี่ นี่ นี่มันคือมื้ออาหารหรือขนมของว่างกันแน่ ของกินเยอะขนาดนี้!
“ คุณฉีฉี?”
"ห้ะ โอเค ฉันเข้าใจแล้ว ขอบคุณมากนะ"
ฉีฉีได้สติและยิ้มให้หญิงสาวที่ยืนอยู่ตรงข้าม
หญิงสาวพยักหน้าให้ฉี ฉีจากนั้นก้าวถอยหลังและจากไป
เหลือเพียงฉีฉีในห้องและเธอมองดูอาหารอร่อยทุกอย่าง ไม่ลังเลที่จะรีบชิม
อืม อร่อยจริงๆ
กินอย่างเพลิดเพลินคำแล้วคำเล่า แถมดื่มเครื่องดื่มทุกขวด ไม่นานท้องของฉีฉีก็กลมโต
ช่วยไม่ได้ มู่ยู่วฉีดูแลอย่างดี เตรียมของกินมากมานแถมยังเป็นขอบที่เธอชอบ ใครจะอดใจไหว
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าอาหารเหล่านี้จะอร่อย แต่พายฟักทองในมือของฉีฉีนั้นแตกต่างมาก
ไม่น่าแปลกใจที่เย่ชูวเสวียแสดงสีหน้าเช่นนั้นเมื่อเธอได้ยินว่าเธอกำลังจะเอาขนมหวานไปมห้ ที่แท้ที่บริษัทมีขนมมากมานแบะได้มาตรฐานระดับห้าดาว
แล้วมู่ยู่วฉีจะชอบพายฟักทองของตัวเองไหม? หรือว่า กินพายฟักทองทำลายให้เกลี้ยงเลยดี!
เมื่อจ้องมองไปที่ขนมในมือของเธอ สีหน้าของฉีฉียุ่งเหยิงมาก
แต่ผ่านไปสักพัก ฉีฉีก็เริ่มมีอาการปวดฟัน
กินขนมหวานมากมายและดื่มเครื่องดื่มหวานขนาดนี้ ถ้ามันไม่ปวดสิแปลก
ฉีฉีจับแก้มของเธอและต้องการดื่มน้ำ
แต่ในบรรดาเครื่องดื่มที่มีให้เลือกมากมาย ไม่มีน้ำเปล่า
ไม่ได้ไม่ได้ ฟันของฉันเจ็บมากขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้นต้องออกไปหาน้ำเปล่าสักแก้ว
ฉีฉีขมวดคิ้วและเดินออกจากห้องรับแขกถือแก้วในมือ
เดิมที ฉีฉีอยากรบกวนลินดาให้ไปเอามลให้ แต่ลินดาและเพื่อนร่วมงานของเธอไม่อยู่ที่นั่นและไม่รู้ว่าไปไหน
ไม่มีทางเลือก ฉีฉีต้องไปกดน้ำเองที่ตู้
จากนั้นไม่นาน เธอก็พบตู้กดน้ำ ซึ่งมีพนักงานหลายคนมารวมตัว พูดคุยขณะดื่มกาแฟ
ในหมู่พวกเขามีลินดาและหญิงสาวที่เพิ่งส่งเครื่องดื่มและของว่างมาให้
พวกเขากำลังคุยกันอย่างมีความสุข ถ้าตัวเองเดินไปตอนนี้ จะไปขัดจังหวะพวกเธอไหมนะ?
ฉีฉีรู้สึกอายเล็กน้อยและในขณะที่เธอกำลังจะเดินเข้าไป ก็ได้ยินสิ่งที่พวกเธอกำลังพูดคุย
"เฮ้ย ฉันคิดว่าคนที่มู่เซ่าชอบจะสวยกว่านี้ซะอีก มันกลายเป็นเด็กผู้หญิงที่ผอมและไม่มีความเป็นผู้หญิงแบบนี้ โยนไปที่ถนนก็กลมกลืนกับผู้คนไปหมด ไม่โดดเด่นอะไรเลย ฉันสงสัยจริงๆ มู่เซ่าไปชอบคนแบบนี้ได้ยังไง”
คนที่พูดคือหญิงสาวที่ส่งขนมมาให้เธอ
เห็นได้ชัดว่าเธอมีความรู้มาก แต่ด้านหลังของเธอ เธอใช้คำพูดที่ไม่ดีวิจารณ์ถึงฉีฉี
ตอนนี้ ฉีฉีไม่สามารถเข้าไปมากกว่านี้ได้ มิฉะนั้นผู้คนจะคิดว่าเธอแอบฟัง
ในตอนนี้ อีกฝ่ายอ้าปากพะงาบๆและพูดด้วยรอยยิ้ม: "บางที มู่เซ่าอาจจะเบื่อของที่มีเสน่ห์เลยเปลี่ยนรสนิยม แต่ผู้หญิงคนนั้นกับเธอห่างกันเป็นสิบๆไมล์"
เมื่อได้รับการยกย่อง หญิงสาวยิ้มอย่างมีชัยชนะ ชูคางของเธอขึ้นและพูดว่า: "ไม่ใช่แบบนั้นหรอก มีบุญหรือไม่มี ก็ต้องดูที่ความสามารถด้วยจะมาจับมู่เซ่า มาเป็นคู่แข่งของฉัน ฉันรู้สึกอับอายเล็กน้อย”
"เดี๋ยวอีกไม่นานผู้หญงิคนนั้นก็ถูกทิ้ง ความอับอายของเธอก็จะหายไปเอง"
"เฮ้อ พวกเธอคิดว่าผู้หญิงคนนี้จะอยู่นานแค่ไหน?"
"หนึ่งเดือนมั้ง"
"หนึ่งเดือน? นานเกินไป ฉันคิดว่าอย่างน้อยสองสัปดาห์ มู่เซ่าก็ต้องเบื่อแน่ๆ เอ้ะ เมื่อถึงเวลานั้น ผู้หญิงคนนี้ก็ต้องร้องไห้ฟูมฟาย ยอมรับไม่ได้ที่มู่เซ่าทิ้งไป"
คนสองสามคนพูดคุยกันอย่างจริงจังมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ลินดาไม่พูดอะไรสักคำ
รู้สึกผิดหวัง หญิงสาวขมวดคิ้วและมองไปที่ลินดาแล้วถามว่า: "เฮ้ย ทำไมไม่คุย เธอใกล้ชิดผู้หญิงคนนั้นมากที่สุด เธอคิดว่ายังไง?"
ลินดาก้มหน้าลงขมวดคิ้วและพูดว่า: "ถ้าฉันเป็นพวกเธอ ฉันจะไม่โง่นินทาแฟนมู่เซ่าในบริษัทแบบนี"
ลินดาและหญิงสาวมีความสัมพันธ์ที่ไม่ดีกับหญิงสาวพวกนี้อยู่แล้ว ตอนนี้มันยากที่จะต่อสู้กับศัตรู แต่ลินดายังคงมีความเป็นตัวของตัวเองสูงซึ่งทำให้ผู้หญิงคนนี้ดูหมิ่น
"ก็แค่เม้าท์ ไม่ได้หรอ? ไม่ไหวเลย ทำตัวสูงส่งทั้งวันแบบนี้ ทำให้ใครดู"
ลินดามองไปที่หญิงสาวคนนั้นและพูดว่า: "ความอยากรู้อยากเห็นของเธอจะทำให้เธอตกงานแน่นอน ฉันขอไม่เอาด้วย"
"หึ กระต่ายตื่นตูมจริงๆ"
"จริง สิ่งที่พวกเราพูดก็เป็นความจริง ไม่ได้พูดไปเรื่อยซะหน่อย”
ลินดาหัวเราะเยาะและพูดว่า: "ความจริง? ความจริงก็คือเธอเป็นคนที่สำคัญมาก ผู้หญิงคนนี้ เป็นผู้หญิงคนเดียวที่มู่เซ่ายอมให้มาที่บริษัท และจัดการทุกอย่างกลัวเธอจะเบื่อ พวกเธอก็น่าจะรู้ดีว่านี่มันหมายถึงยังไง?”
"อะไร?"
"ถ้าเธอปล่อยให้คุณฉีฉีคนนี้ได้ยินในสิ่งที่เธอไม่ควรฟัง เธอจะเป็นทุกข์" ลินดามองไปในทิศทางของฉีฉีและถามว่า "คุณฉีฉี คุณคิดอย่างนั้นหรือเปล่า?"
เอ่อ……
ฉีฉีรู้สึกว่าเธอซ่อนตัวอยู่อย่างดี แต่เธอถูกเห็นได้ยังไง?
ส่วนผู้หญิงอื่นๆใบหน้าของพวกเธอซีดเซียว หลังจากได้ยินคำพูดของลินดา
เนื่องจากเธอถูกเห็นแล้ว ไม่จำเป็นต้องซ่อนอีก ฉีฉีก็เดินออกมายิ้มและยกถ้วยในมือขึ้น
"ฉันแค่เดินผ่านมา อยากไปเติมน้ำ ตู้กดน้ำอยู่ไหนหรอ?”
หญิงสาวชี้ไปที่ตำแหน่งข้างๆเธออย่างแข็งกร้าว
ฉีฉีกำลังจะเอนตัวไปกดน้ำ หญิงสาวที่ประจบสอพลอคนอื่นๆ ก็หยิบถ้วยของเธอขึ้นมาทันทีและยิ้มให้ความช่วยเหลือ
"เรื่องแค่นี้เอง ให้ฉันช่วยเถอะค่ะ คือว่า ที่ฉันพูดไปเมื่อกี้ฉันแค่พูดไปเรื่อย คุณอย่าเก็บมาใส่ใจเลยนะคะ"
"ใช่ค่ะ ใช่ค่ะ ถ้ามีอะไรพูดไม่ดี คุณอย่าเอาเป็นเรื่องใหญ่เลยนะคะ ถือว่าเป็นข่าวลือ"
คนอื่นๆเห็นด้วย มีเพียงหญิงสาวที่ให้ขนมกัดริมฝีปากของเธอ มองไปที่ฉีฉีด้วยความไม่พอใจ แต่ไม่พูดอะไร
นินทาคนอื่นลับหลังขนาดนี้ ต่อให้พูดอะไรไปก็ไม่มีประโยชน์ ฉีฉีเองก็ไม่สนใจแต่อย่างใด เธอจึงยิ้มและโบกมือพูดว่า: "ไม่เป็นไร ฉันจะกลับไปที่ห้องแล้ว พวกเธอคุยกับต่อเลย”
ฉีฉีหยิบแก้วน้ำของเธอ หันไปรอบๆและจากไป
สำหรับความคับข้องใจระหว่างพวกเขามันไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับฉีฉี
หลังจากรอไปอีกครึ่งชั่วโมง มู่ยู่วฉีก็ออกมาจากการประชุมและรีบเดินไปที่ห้องรับแขก
เมื่อเขาเปิดประตูมู่ยู่วฉีก็พูดด้วยรอยยิ้ม: "เหอะ รู้แล้ว ยังดีฉันรู้ว่ามีแขกมา ไม่งั้น คงคิดว่าโดนขโมยแล้ว"
ฉีฉีโผล่หัวออกมาจากความยุ่งเหยิงและพูดว่า: "ตัวเองมาสายแท้ๆยังมาว่าคนอื่นกินเยอะอีก จะว่าไป เธอเป็นคนชวนฉันมา ถ้ากินน้อยไปเดี๋ยวจะทำให้เธอเสียหน้านะ”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: วิวาห์สายฟ้าแลบ กับคุณสามีผู้ลึกลับ
ขอบคุณแอดค่ะ...สนุกค่ะ......
สนุก...