หนานกงเจาตกใจกับรอยยิ้มของเย่ชูวเสวีย และถามว่า: "มีแผนอะไรหรอ?"
“ยังบอกไม่ได้หรอก รอให้ถึงเวลา จะได้เห็นดีกัน!”
หนานกงเจาจับหน้าอกของเขาและพูดว่า: "ชูวเสวีย ใจเย็นๆ ! ความอดทนทางจิตใจของเราอ่อนแอมาก เราไม่สามารถทนต่อการกระตุ้นที่รุนแรงเกินไปได้"
"ฉันก็ใจเย็นอยู่นี่ไง"
อืม ท่าทางของเย่ชูวเสวียใจเย็นมากจริงๆ มากจนทำให้คนรู้สึกขนลุก
"แต่……"
“ ชาที่นี่อร่อยมาก ลองชิมดูสิ หลังจากดื่มชาไปสักพักก็ไปซื้อของกันต่อ ฉันอยากดูสร้อยคอ สร้อยคอที่เธอให้ฉัน มันบังเอิญตกลงไปในสระว่ายน้ำครั้งที่แล้ว ฉันก็เลยจะซื้อใหม่ "
เย่ชูวเสวียพูดในขณะที่กำลังรินชาให้หนานกงเจา
หลังจากได้รับถ้วยน้ำชา หนานกงเจาก็ทำอะไรไม่ถูก
เขารู้ว่าเย่ชูวเสวียไม่อยากพูดถึงคำถามนี้ ต่อให้เขาถามไปอีกก็ไม่มีประโยชน์อะไร
หนานกงเจาถอนหายใจและพูดด้วยน้ำเสียงที่ยอมแพ้ว่า:: "โอเค แค่เธอมีความสุขก็พอแล้ว"
"อีกอย่าง เรื่องที่ฉันจะคิดบัญชีกับพี่ เธอต้องบอกเขา"
หนานกงเจาที่กำลังจะดื่มชาก็ตกตะลึงเมื่อได้ยินสิ่งที่เย่ชูวเสวียพูด จากนั้นก็หันไปมองเธอและถามว่า: "เธอแน่ใจหรอว่าไม่ลืมพูดคำว่า “ไม่”?”
เย่ชูวเสวียพูดช้าๆ: "ไม่ฉันแน่ใจว่าฉันพูดถูกฉันแค่ขอให้เธอบอกพี่ชายของฉัน"
หนานกงเจา สับสนและพูดว่า "อันนี้......ฉันไม่เข้าใจ"
“ พี่ชายของฉันเป็นคนที่หยิ่งผยองและหยิ่งยโส บอกให้เขารู้ว่าฉันคิดอะไร เขาจะหัวเราะให้กับความคิดแปลกๆของฉัน ไม่เอาเรื่องนี้มาคิดหรอก เขาจะได้เอาเรื่องนี้ไปคิดแล้วกลับมาเล่นงานฉันแทน "
เย่ชูวเสวียพูดอย่างชัดเจน แค่ฟังก็รู้แล้วว่าเธอพร้อมลงมือ
เมื่อเธอตัดสินใจแล้ว ต่อให้เอาวัวสิบตัวมาฉุดความคิดเธอก็เอาไม่อยู่ ต่อให้เป็นหนานกงเจาก็ตาม ทำได้แค่ถอนหายใจ
"เฮ้อ พวกเธอสองพี่น้องจะฆ่ากันเองแท้ๆ"
"เอาล่ะ ไม่ต้องคุยเรื่องนี้แล้ว หนานกง ช่วงนี้ฉันขอโทษนะ ทำให้เธอรู้สึกอึดอัดมากไปหน่อย"
อารมณ์ของเย่ชูวเสวียเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว หนานกงเจาไม่ตอบ หลังจากนั้นครู่หนึ่ง เขาก็ยื่นมือออกมาแล้วลูบหัวของเย่ชูวเสวีย พูดว่า: "ขอแค่เธอมีความสุข ลำบากแค่ไหนฉันก็ยอม”
เย่ชูวเสวียรู้สึกเขินเล็กน้อย เมื่อเธอคิดถึงปัญหาที่ไม่สมควรเกิดขึ้นก่อนหน้านี้
“ หนานกง มีแต่เธอที่ทนนิสัยแย่ๆของฉันได้ เธอ เธอเป็นทุกข์หรือเปล่า?”
"เธอมีนิสัยแย่หรอ? ทำไมฉันไม่เห็นรู้สึกเลย ในสายตาของฉัน เธอเป็นเจ้าหญิงตัวน้อยและบางครั้งอารมณ์เสียบ้าง ก็เป็นเพราะฉันทำให้เธอไม่พอใจ ไม่ได้ดั่งใจเธอ"
ความอ่อนโยนของหนานกงเจาทำให้เย่ชูวเสวียขยับตัวและรู้สึกเขิน เธอกระโดดเข้าไปในอ้อมแขนของหนานกงเจา เย่ชูวเสวียกอดเขาด้วยรอยยิ้มที่มีความสุขบนใบหน้าของเธอ
“ หนานกง เธอทำแบบนี้จะทำให้ฉันได้ใจนะ”
กอดเย่ชูวเสวียไว้แน่น หนานกงเจาแตะผมด้านบนของเธอและพูดว่า: "งั้นก็ให้ฉันโอ๋เธอไปตลอดชีวิตเลย"
ดวงตาของเย่ชูวเสวียดูนุ่มนวลและอ่อนโยนเมื่อมองขึ้นไปที่หนานกง เขาก็โน้มตัวไปจูบเย่ชูวเสวีย
ในขณะที่ทั้งสองคนกำลังหยอดกัน ฉีฉีกำลังกังวล
ฉีฉีนั่งข้างๆเซี่ยอันนา ฉีฉีขมวดคิ้วและถามว่า: "อันนา เธอว่าพวกเขาทั้งสองคนจะทะเลาะกันอีกไหม?"
เซี่ยอันนากำลังขับรถและตอบว่า: "ไม่ต้องกังวล ชูวเสีวยไม่อารมณ์เสียแล้ว ไม่ไปโมโหใส่หนานกงหรอก ฉันเดาว่าทั้งสองคนคงกำลังหวานกันอยู่"
"จริงหรอ?"
"แน่นอน ไม่ต้องห่วง พวกเขาสัญญาณเตือนดังขึ้นและตอนนี้ทุกอย่างสงบแล้ว เราไปพักผ่อน หาอะไรอร่อยๆกินกันเถอะ"
"ยังจะกินอีกหรอ? อันนาความอยากอาหารของเธอทำให้คนตกใจ เธอไปหาหมอดูดีไหม?"
ไม่อยากอาหารก็ไปหาหมอ อยากอาหารก็ต้องไปหาหมออีกหรอ? เธอคิดมากไปแล้ว” เธอมองไปใบหน้าของเธอจากกระจกหลัง เซี่ยอันนาสังเกตเห็นใบหน้าของเธอกลมขึ้นเล็กน้อยและพูดว่า "จะว่าไป ฉันคงต้องลดน้ำหนักแล้วจริงๆ รู้สึกช่วงนี้อ้วนขึ้น"
“กินเยอะขนาดนี้ ไม่อ้วนสิแปลก”
ฉีฉีบ่นทำให้เซี่ยอันนาจริงจังและถามว่า: "อะไร เธอว่าฉันอ้วนขึ้นจริงหรอ? งั้นฉันต้องลดจริงๆแล้ว เวลาถ่ายรูปออกมาไม่สวย”
“จริงด้วย ปกติเธอยุ่งมากไม่ใช่หรอ ทำไมช่วงนี้ถึงว่าง มีเวลาชวนมาช้อปปิ้งนั่งดื่มชาอีก”
"ช่วงนี้ไม่รู้ว่าเป็นอะไร รู้สึกเหนื่อยง่ายมาก อยากกินของหวาน ทำอะไรก็ไม่มีแรง ช่วงนี้ก็เลยพัก"
คำพูดของเซี่ยอันนาทำให้ฉีฉีกังวลมากขึ้น ขมวดคิ้วและพูดว่า: "ฉันคิดว่าเธอต้องไปหาหมอแล้วล่ะ ก่อนหน้านี้เธอทำงานหนักมาก อาจจะทำให้สุขภาพไม่ดี ไปตรวจสักหน่อยเถอะ”
แต่เซี่ยอันนาไม่ได้ให้ความสำคัญกับมันและพูดอย่างเฉยๆว่า: "รู้แล้วรู้แล้ว ถ้ามีเวลาฉันจะไป"
"ไม่ต้องรอมีเวลา ไปตอนนี้เลย ฉันรู้จักหมอชื่อดังคนหนึ่ง ฝีมือดีมาก ฉันจะพาเธอไป"
“ ตอนนี้? แต่ฉันรู้สึกหิวนิดหน่อย”
"โอ้ย ไปหาหมอเสร็จค่อยไปกิน เดี๋ยวแยกหน้าอีกยี่สิบนาทีก็ถึงแล้ว”
ฉีฉียังคงยืนกราน เซี่นอันนาทำอะไรไม่ถูก เธอจึงต้องพูดว่า: "ก็ได้ ฉันนี่กลัวเธอจริงๆ"
เซี่ยอันนาหันกลับมาและกำลังจะเลี้ยวเข้าทางแยก ก็มีรถยนต์ไฟฟ้าวิ่งออกไปอย่างกะทันหัน
“ อันนา ระวัง !!”
เซี่ยอันนาเหยียบเบรกทันทีและยางส่งเสียงดัง รถเหินไปได้ระยะหนึ่งก่อนที่จะหยุดลง
ในเวลาเดียวกันวัตถุที่มีน้ำหนักมากก็ตกลงมาและผู้คนก็ล้อมรอบมันทันที
เด็กผู้หญิงสองคนในรถกลัวและตกใจมาก เซี่ยอันนาก็พึมพำ: "ฉีฉี ฉัน......ฉันชนคนหรอ?"
"อย่าเพิ่งขยับ ฉันจะลงไปดู"
ฉีฉีก็กลัวมากเช่นกัน แต่เซี่ยอันนาน่าจะตกใจกว่า ไม่เหมาะกับการออกไปดูเอง เธอทำได้เพียงแสร้งทำเป็นเปิดประตูรถและลงไปตรวจดูสถานการณ์
ทันใดนั้น ก็มียายสูงอายุนอนอยู่บนพื้นด้วยสีหน้าเจ็บปวด รถข้างๆเธอล้มลงกับพื้นและไฟของรถก็แตก
เมื่อเห็นฉีฉี ยายก็เริ่มโหยหวนทันที
"โอ้ย วัยรุ่นพวกนี้ ขับรถไวขนาดนี้รีบไปตายหรือไง!"
ฉีฉีโน้มตัวไปถาม: "ขอโทษนะคะ คุณยายเป็นอะไรไหม?"
ยายไม่ตอบคำถามของฉีฉี เธอจับเอวแล้วร้องเจ็บปวด: "ขับรถดีๆแล้ว คิดว่าคนจนอย่างฉันชีวิตไม่มีค่า เพราะไม่มีเงิน ใช่ไหม! "
มีผู้คนจำนวนมากเข้ามาดูที่เกิดเหตุ และพวกเขาก็เริ่มชี้ไปที่ฉีฉี บางคนก็ดูไม่ดีและพูดอะไรที่เหยียดหยาม
ไม่ใช่วิธีแก้ปัญหาที่จะยืนอยู่แบบนี้ ฉีฉีขึ้นไปช่วยยายและพูดว่า: "เราไม่เคยคิดอย่างนั้น ยายเจ็บตรงไหนหรือเปล่า ถ้างั้นไปหาหมอกันเถอะ"
แต่เธอยายปัดมือของฉีฉีออกและพูดว่า: "ฉันไม่อยากคุยกับเธอ ให้คนขับลงมา ฉันจะคุยกับมันเอง!"
"เธอตกใจมาก มีอะไร คุยกับหนูก็ได้ค่ะ"
“ ฉันจะคุยกับมัน เรียกลงมา!”
"คือ……"
ยายจ้องไปที่เธอและพูดว่า: "อะไรพวกแกอยากหนีความผิดงั้นหรอ!? ฉันจะบอกให้ ทุกคนแถวนี้ก็เห็นกันหมดว่าพวกแกชนฉัน อย่ามาปฏิเสธ!"
เมื่อเห็นยายพูดเช่นนี้ ฉีฉีจึงกระซิบ: "ก็เห็นแข็งแรงดีนี่ ไม่น่าได้รับบาดเจ็บอะไร"
"แกพูดอะไร?"
ริมฝีปากของฉีฉีขยับและก่อนที่เธอจะพูดอะไร เธอก็ได้ยินเสียงที่มาจากด้านหลังเธอ
“คุณยาย เป็นอะไรมากไหม?”
เงยหน้า ยายมองขึ้นไปเห็นผู้หญิงหน้าตาดีคนหนึ่งยืนอยู่ตรงหน้า เธอสวมหมวกและแว่นกันแดดด้วยท่าทางที่เป็นห่วง
อืม แค่ดูก็รู้ว่าเป็นคนมีเงิน!
ดวงตาของยายสว่างขึ้นและเธอก็พูดออกมา: "โอโห โผล่หัวออกมาจนได้ คิดว่าแกจะหลบอยู่แต่ข้างใน”"
ความตกใจทำให้เซี่ยอันนารู้สึกอึดอัดเล็กน้อยและใบหน้าของเธอก็ซีด
แต่แว่นกันแดดขนาดใหญ่ปกปิดใบหน้าส่วนใหญ่ของเธอและในขณะที่ซ่อนใบหน้าของเธอก็ยังปกปิดใบหน้าที่ซีดเซียวของเธอด้วย
ด้วยความตกใจ เซี่ยอันนาไม่เป็นตัวของตัวเองแต่ก็ยังถามออกไป: "คุณยายบาดเจ็บจรงไหนไหม?"
ยายพึมพำออกมาว่า: "ฉันปวดหลัง ปวดขาและปวดหัว อาจเป็นอาการถูกกระแทก ต้องเสียเงินไปโรงพยาบาล"
“งั้นเราไปโรงพยาบาลกันเถอะ”
"โอ้ย อันที่จริงมันไม่ต้องลำบากขนาดนั้น ขอค่าเสียหายก็พอแล้ว"
"ได้รับบาดเจ็บ ก็ไปโรงพยาบาลเลยจะได้รู้ว่าเป็นอะไรมากไหม"
"นั่นมันก็เป็นเรื่องของฉัน พวกแกจะมายุ่งทำไม บอกว่าเอาเงินค่าเสียหายมาก็พอไง!"
น้ำเสียงของยายเปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน การแสดงออกของเธอยังคงร้อนรนราวกับว่าเซี่ยอันนาและฉีฉีไม่รู้ว่าอะไรดีหรือไม่ดี
ฉีฉีเพิ่งสังเกตเห็นท่าทางของยายก็ไม่ได้รับบาดเจ็บอะไร แถมสติก็ยังดี ไม่น่าจะเป็นอะไรมาก
ฉีฉีกระซิบว่า: "อันนา ฉันคิดว่าเราเจอพวก18มงกุฎแล้วล่ะ"
เซี่ยอันนาพูดอย่างเย็นชาว่า: "หึ ฉันก็ดูออกเหมือนกัน"
"หรือไม่ เราก็ให้เงินเธอไปเลย เรื่องจะได้จบๆ"
“ทั้งๆที่รู้ว่ากำลังโดนหลอก ทำไมต้องเอาเงินให้มันอีก!”
เซี่ยอันนารู้สึกอารมณ์ไม่ดี ยกคางขึ้นเล็กน้อยและถามว่า: "คุณยาย บอกมาสิอยากได้เท่าไหร่?"
ยายมองไปที่โลโก้รถ จากนั้นก็ยื่นนิ้วออกมาและพูดว่า: "1หมื่นหยวนก็พอ"
เซี่ยอันนาพูดออกมาอย่างเย็นชา:"1หมื่นหยวน? เห็นแก่ได้จังเลยนะ รถของยาสคันนั้นยังไม่ถึง1หมื่นหยวนเลย"
“คนที่ได้รับบาดเจ็บไม่ได้มีแค่รถนิ แต่ยังรวมถึงร่างกายของฉันด้วย หญิงชราถูกแรงกระแทกขนาดนี้ ต้องไปโรงพยาบาลตรวจว่ามีอะไรกระทบอีกไหม ถ้าฉันเป็นอะไรขึ้นมา พวกแกยังต้องรับผิดชอบตลอดชีวิต”
สิ่งหนึ่งที่ยายกำลังพูดทำให้เซี่ยอันนาเข้าใจนั่นคืออยากได้เงินค่าเสียหาย
แต่เซี่ยอันนาไม่อยากถูกหลอก เธอจับแขนของเธอและพูดว่า: "แต่ฉันเห็นยายก็ดูปกติดีนิ น้ำเสียงก็ยังดีไม่เห็นเหมือนคนเจ็บเลย แล้วก็รถของยาย มันเป็นรถเก่าๆที่จะพังอยู่แล้ว ไม่ต่างอะไรกับเศษเหล็ก เพราะงั้น ฉันให้ได้มากสุด200หยวน ถือว่าเป็นค่าทำขวัญ”
คำพูดเหล่านี้ทำให้สีหน้าของยายเปลี่ยนไปและเธอก็ดุว่า: "แกพูดว่าอะไร!?"
"ไม่พองั้นหรอ? ถ้างั้นเราไปดำเนินตามขั้นตอน ไปแจ้งความเถอะ"
เมื่อเห็นการยืนกรานของเซี่ยอันนา ยายก็โกรธและพูดว่า: "เธอเป็นคนที่ขับรถหรูอยู่แล้ว ทำไมเธอถึงขี้เหนียวอย่างนี้ แค่200หยวนเอาออกมาแค่นี้แกไม่อายหรอ!"
“ ฉันมีเงิน แต่เงินของฉันไม่ได้พัดพามาด้วยลมแรงการกุศลหรืออะไร มีคนจะมาแบมือขอฟรีๆ ฉันก็ไม่ให้หรอกนะ”
“ แก......ได้ แกจะแจ้งความใช่ไหม งั้นฉันก็จะรอดูบ้านอกล้มละลาย!”
"จะเทียบกับฉัน? ก็ต้องดูว่าคุณภาพชีวิตของยายถึงไหม!" หันไปมองฉีฉี เซี่ยอันนาพูดโดยไม่ลังเล: "ฉีฉี ช่วยโทรหาตำรวจหน่อย"
"อืม"
“ เออ แจ้งความก็แจ้งความ ใครกลัวใคร!”
แม้ว่ายานจะยืนกรานไม่ยอมแพ้ แต่เธอก็มีท่าทางลุกลี้ลุกลนมองไปรอบๆอยู่บ้าง
จากนั้นไม่นาน ตำรวจก็มาถึง
เมื่อเห็นยายนอนอยู่บนพื้น ตำรวจก็แสดงท่าทางทำอะไรไม่ถูก
"ยาย นี่เป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วที่ฉันเจอยาย?"
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ก็รู้เลยว่าเรื่องนี้ใครเป็นคนผิด
ยายทำท่าทางเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นและพูดว่า: “ ฉันแก่แล้ว ฉันข้ามถนนช้า ฉันก็ทำอะไรไม่ได้ คนขับรถสมัยนี้ไม่มีจรรยาบรรณ ไม่รู้กฎของท้องถนน สุดท้ายก็นำพาความเดือดร้อนมาให้คนอื่น”
ทั้งๆที่รู้ว่ายายไม่บริสุทธิ์ แต่ตำรวจทำได้เพียงทำตามขั้นตอน
เมื่อหันไปมองเซี่ยอันนา ตำรวจก็เตรียมทำการตรวจสอบ
แต่อุปกรณ์ของเธอแน่นเกินไปปกปิดใบหน้าของเธอ
พฤติกรรมนี้ค่อนข้างแปลก ตำรวจขมวดคิ้วเล็กน้อยแล้วพูดว่า: "ถอดแว่นกันแดดออกได้ไหม?"
“ ต้องถอดหรอ?”
"ใช่ครับ โปรดให้ความร่วมมือกับการสืบสวนของเรา"
เซี่ยอันนาถอนหายใจเบาๆ แล้วถอดแว่นกันแดดออก
เมื่อเห็นใบหน้าของเซี่ยอันนา ตำรวจก็ตะลึง
ผู้คนที่เฝ้าดูความตื่นเต้นอยู่รอบๆก็จำเซี่ยอันนาได้และอุทานว่า: "เฮ้ย เธอ.....เธอคือดาราดังคนนั้นไม่ใช่หรอ?"
"ใช่ใช่ใช่ นั่นคือคนที่แสดงในภาพยนตร์และได้รับรางวัล"
"โชคดีจังที่ได้เจอเธอที่นี่!"
ยายที่นอนอยู่บนพื้นก็ตะลึง ไม่คาดคิดว่าจะได้เจอคนดัง ไม่รู้จริงๆว่าโชคดีหรือโชคร้าย
ตำรวจทำการตรวจสอบ ยายก็ยังคงนอนอยู่ข้างๆ เธอบ่นพึมพำอย่างไม่เต็มใจ: "เป็นถึงดาราก็ต้องมีเงินเยอะไม่ใช่หรอ ยังมาหวงเงินเล็กน้อยแค่นี้ ถ้าเดี๋ยวนักข่าวรู้ คนที่เดือดร้อนก็คือพวกแกไม่ใช่หรอ”
เซี่ยอันนาได้ยินเสียงบ่นของยาย เธอหันหน้ามาพูดต่อว่า: “เป็นดาราแล้วไง ดาราหาความยุติธรรมให้ตัวเองไม่ได้งั้นหรอ? เพราะฉันเป็นดารา มีคนติดตามเยอะ เลยต้องทำตัวให้เป็นแบบอย่างที่ดี ถ้าเกิดคนทุกคนกลัวเดือดร้อน งั้นสังคมนี้จะกลายเป็นสังคมแบบไหนกัน?”
ฉีฉีฟังจนมึน
เซี่ยอันนาไปรู้คมคำพวกนี้มาจากไหน? คำพูดที่เร่าร้อนนี้สามารถเขียนลงในหนังสือได้เลยนะเนี่ย!
ผู้คนรอบข้างปรบมือและบางคนก็ยกโทรศัพท์มือถือขึ้นเพื่อถ่ายภาพของเซี่ยอันนา
เซี่ยอันนาไม่มีการแต่งหน้าในวันนี้และไม่เหมาะกับการถ่ายภาพ
แต่เซี่ยอันนาไม่สนใจสิ่งเหล่านี้ในขณะนี้เธอรู้สึกเวียนหัว แล้วสภาพเธอก็แย่มาก
ความรู้สึกแบบนี้ เป็นสิ่งที่เธอไม่เคยรู้สึกมาก่อน เซี่ยอันนารู้สึกว่าควรไปหาหมอจริงๆแล้ว
ความวุ่นวายค่อยๆเบาลง เซี่ยอันนาถามอย่างเฉยเมย: "คุณตำรวจ เราต้องให้ความร่วมมืออะไรอีกไหม?"
"ลงชื่อไว้ที่นี่ จากนั้นรถจะถูกกักไว้ชั่วคราว ต้องรอแจ้งถึงจะเอารถกลับไปได้"
“ โอเค”
หลังจากเซ็นชื่อแล้วเซี่ยอันนากับฉีฉีก็จากไป
ฉีฉีพบว่ามีบางอย่างผิดปกติกับเซี่นอันนา จับมือเธอ
"อะไรนะ!?"
เมื่อกี้ยังมีความสุขมากอยู่เลย ตอนนี้เซี่ยอันนาตกไปในเหวในเวลาต่อมา
ยังไม่มีเวลาดื่มด่ำกับความรู้สึกของความเป็นแม่ เธอก็ต้องสูญเสียลูกไปแล้วอย่างงั้นหรอ?
ไม่ เธอทนไม่ได้!
เมื่อเห็นท่าทางของเซี่ยอันนา ฉีฉีจึงรีบพูดว่า: "มันก็แค่มีอันตราย หมอยังบอกว่ามีความหวัง อย่ากังวลเลย"
ไม่กังวล? จะเป็นไปได้ไง
เซี่ยอันนาแสร้งทำเป็นสงบและพูดว่า: "ช่วยเรียกเสี่ยวอวี้หลินมาหน่อย”
ฉีฉีอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ในที่สุดเธอก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ จากนั้นก็หันหลังกลับและเดินออกไป
หลังจากนั้นไม่นาน เสี่ยวอวี้หลิน ก็ผลักประตูและเดินเข้ามา
แต่เดิมมีการแสดงออกที่หนักหน่วงบนใบหน้าของเขา แต่หลังจากได้เห็นเซี่ยอันนา ก็ราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น
เสี่ยวอวี้หลินนั่งอยู่ข้างๆเซี่ยอันนา เสี่ยวอวี้หลินจับมือเธอแล้วถามเบาๆ : "อันนา ตอนนี้เธอยังรู้สึกเวียนหัวอยู่หรือเปล่า?"
เซี่ยอันนานั่งเฉยๆและพูดว่า: "บอกมาสิ หมอพูดว่าอะไรบ้าง"
เสี่ยวอวี้หลินกำลังจะอ้าปากพูด แต่เซี่ยอันนาพูดขึ้นก่อนว่า: "ไม่ช้าก็เร็วฉันก็ต้องรู้ บอกฉันมาตั้งแต่ตอนนี้เถอะ ดีกว่าให้ฉันคิดมากไปคนเดียว"
ไม่วอกไม่ได้ คำพูดของเซี่ยอันนา ทำให้เสี่ยวอวี้หลินรู้สึกเศร้าเล็กน้อย
ถอนหายใจอย่างอ่อนแรง เสี่ยวอวี้หลินพูดขึ้นว่า: "โอเค ฉันบอก เธอมีภาวะน้ำตาลในเลือดสูงทางพันธุกรรม ดังนั้นความเสี่ยงของการตั้งครรภ์จะสูงขึ้น เนื่องจากก่อนหน้านี้เธอไม่ให้ความสนใจในการกิน เธอจึงกินน้ำตาลและไขมันสูงมากเกินไป อาหารทำให้ความดันโลหิตของเธอไม่คงที่ประกอบกับการระคายเคืองเพียงเล็กน้อยก็มีความเสี่ยงที่เด็กจะแท้ง”
หลังจากได้ยินคำพูดของเสี่ยวอวี้หลิน เซี่ยอันนารู้สึกว่าเธอไร้ประโยชน์จริงๆ
เด็กกำลังจะมา เธอไม่รู้ เดิมทีเธอควรปกป้องลูกน้อยของเธอจากลมและฝน แต่เนื่องจากความประมาทของเธอเด็กจึงตกอยู่ในอันตราย
หลับตาลงเบาๆ เพื่อปกปิดความเจ็บปวดในดวงตาของเซี่ยอันนา เธอถามเบาๆ : "แล้วตอนนี้จะทำยังไง?"
“หมอจะให้ยาไปกิน และคอยติดตามอาการอย่างใกล้ชิด” เห็นได้ชัดว่าเสี่ยวอวี้หลินเป็นห่วงเธอมาก ฝ่ามือใหญ่แตะที่เส้นผมของเซี่ยอันนาเบาๆ เสี่ยวอวี้หลินปลอบเธอ: "ไม่ต้องคิดมานะ ถ้าเด็กคนนี้เป็นลูกเราจริงๆ เขาจะอยู่กับเรา”
เซี่ยอันนาบิดตัวและพิงไหล่ของเสี่ยวอวี้หลิน เซี่ยอันนาพูดด้วยน้ำเสียงที่เหนื่อยล้า: "ฉันประมาทเกินไป ไม่สังเกตเห็นการมาของเขาตั้งแต่แรก ถ้าฉันระวังตัวมากกว่านี้ เรื่องแบบนี้ก็คงไม่เกิด ฉันไม่เหมาะที่จะเป็นแม่จริงๆ "
“ มันไม่ใช่แบบนั้น เธอไม่สามารถควบคุมสภาพร่างกายของเธอได้ด้วยตัวเอง อย่าโทษตัวเอง ฉันรู้ว่าเธอกำลังเศร้า ฉันก็เช่นกัน แต่เราต้องเชื่อในตัวลูกเขากำลังทำงานอย่างหนักเพื่ออยู่ในร่างกายของเธอและเราต้องพยายามเหมือนกัน จงมองโลกในแง่ดีและเป็นแบบอย่างให้กับลูกน้อยของเรา "
น้ำตาไหลลงมาโดยไม่ได้ตั้งใจเซี่ยอันนาบ่นพึมพำ: "แต่ตอนนี้ฉันมองโลกในแง่ดีไม่ได้จริงๆ ฉันรู้สึกว่าฉันหมดสิ้นทุกอย่างแล้ว ไม่มีความหวังอีกต่อไป"
"นี่เป็นเพียงชั่วคราว เดี๋ยวเธอจะยอมรับความจริงนี้ได้ มันจะดีขึ้นเอง อีกอย่าง ไม่ว่าจะลำบากแค่ไหนก็ยังมีฉันอยู่ข้างๆเธอ ตอนนี้เธอพักผ่อนก่อนเถอะ”
เซี่ยอันนาเชื่อฟังมาก เธอนอนลงอีกครั้งหลับตาและพึมพำเบาๆ : "ฉันหวังว่าทั้งหมดนี้เป็นแค่ฝัน”
คำพูดของเธอบาดหัวใจของเสี่ยวอวี้หลินเหมือนมีด
เมื่อได้รับสาย เสี่ยวอวี้หลินรีบไปโรงพยาบาลด้วยความตื่นตระหนก แต่คำพูดของแพทย์ทำให้เขาเสียความรู้สึกไปโดยสิ้นเชิง
เมื่อเห็นว่าเย่จิงเหยียนและต้วนอีเหยา ซื้อของใช้ที่เด็กต้องการได้และทั้งสองยังคงคุยกันเรื่องชื่อของเด็ก เสี่ยวอวี้หลินรู้สึกอิจฉามาก
นอกจากนี้เขายังหวังว่าเขาและเซี่ยอันนาจะมีลูกเป็นของตัวเองบ้าง
ตอนนี้ความฝันเป็นจริงแล้ว แต่ก็ต้องหมดหวังเมื่อรู้การเป็นอยู่ของเด็กคนนี้
นี่เป็นข่าวที่น่าเศร้าและมีความสุขจริงๆ
......
ในไม่ช้า ญาติและเพื่อนๆของเซี่ยอันนารู้ข่าว พวกเขามาที่โรงพยาบาลเพื่อเยี่ยมเซี่ยอันนา หวังว่าเธอจะดีขึ้น
อย่างไรก็ตาม เซี่ยอันนามักใช้ข้ออ้างว่าอยากพักผ่อนเพราะไม่อยากเจอใคร
สภาพของเธอน่าเป็นห่วงมาก แต่ก็ไม่สามารถทำอะไรได้
แต่ในบรรดาเพื่อนๆ คนหนึ่งยังสามารถเดินเข้าไปในโลกของเซี่ยอันนาได้
ตอนนี้ท้องของต้วนอีเหยาใหญ่มากแล้วและการเคลื่อนไหวของเธอก็ไม่สะดวก
แต่เธออยู่ในสภาพจิตใจที่ดีมีแสงสีแดงบนใบหน้าและเต็มไปด้วยความสุข
เป็นเหตุผลว่าตอนนี้ต้วนอีเหยาไม่เหมาะที่จะปรากฏตัวต่อหน้าเซี่ยอันนา เพราะกลัวว่าเธอจะได้รับบาดเจ็บทางใจ แต่ต้วนอีเหยาก็มาอยู่ดีและมาพร้อมกับความคิดที่เปิดกว้าง
ในเวลานี้ ฉีฉีเพิ่งเดินออกจากห้อง อาหารในจานยังไม่ได้แตะสักคำ
ต้วนอีเหยาเห็นสิ่งนี้และถามว่า: "อันนาเป็นยังไงบ้าง?"
ฉีฉีส่ายหัวและถอนหายใจ: "หดหู่มาก"
“ ฉันจะเข้าไปคุยกับเธอ”
เดินเข้ามาพร้อมดอกไม้ในมือของเธอ ต้วนอีเหยาเห็นเซี่ยอันนานอนเงียบๆอยู่บนเตียงในโรงพยาบาลด้วยสายตาที่ว่างเปล่า
เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้า เซี่ยอันนาหันไปมองด้วยความเกียจคร้านและเห็นว่านั่นคือต้วนอีเหยา เธอโค้งงอริมฝีปากล่างของเธอ
ต้วนอีเหยานำแจกันมาใส่ช่อดอกไม้ แล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า: "ฉันได้รับการรักษาในโรงพยาบาลนี้เหมือนกัน เพราะรู้ว่าการเข้าโรงพยาบาลเป็นเรื่องที่น่าเบื่อและน่าเบื่อจริงๆ ฉันทำได้แต่มองไปที่กำแพงด้วยความงุนงงทั้งวันและฉันรู้สึกไม่สบาย แม้ว่าฉันจะไม่ได้ป่วยก็ตาม ดังนั้นฉันจึงนำช่อดอกไม้มาให้เธออากาศบริสุทธิ์ เผื่ออารมณ์จะดีขึ้น "
"ขอบคุณนะ"
หันไปนั่งฝั่งตรงข้ามของเซี่ยอันนา ต้วนอีเหยาพบเซี่ยอันนาจ้องมองที่ท้องของเธอและมีสีที่เจ็บปวดไหลผ่านดวงตาของเธอ
ต้วนอีเหยาเอนตัวไปจับมือของเซี่ยอันนาและพูดเบาๆว่า: "อันที่จริงฉันเป็นคนที่เข้าใจเธอดีที่สุดเพราะฉันมีประสบการณ์คล้ายๆกั อารมณ์ในตอนนั้นมันยากจริงๆ"
คำพูดของต้วนอีเหยาทำให้เซี่ยอันนาเกือบหลั่งน้ำตา
หลังจากหายใจเข้าลึกๆ เสียงของเซี่ยอันนาก็ถูกขัดขวางและพูดว่า: "โชคดีที่เธอรอดชีวิตมาได้ เธอจึงสามารถมองเห็นแสงสว่างได้"
"ใช่ ก็เหมือนกันแหละ สักวันมันจะเกิดขึ้นอีก"
เซี่ยอันนายังคงส่ายหัว น้ำตาของเธอไม่สามารถหยุดได้อีกต่อไป เธอร้องไห้และพูดว่า: "ฉันหยุดโทษตัวเองไม่ได้ ทั้งหมดที่เกิดขึ้นตอนนี้ก็เป็นเพราะฉัน”
"ก่อนหน้านี้เธอหรือเปล่าฉันไม่รู้ แต่ตอนนี้เธอคิดผิดแล้ว"
คำพูดที่ไม่เป็นมิตรของต้วนอีเหยา ทำให้เซี่ยอันนาตกตะลึง
“ ไม่ว่าเรื่องนี้จะมีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับเธอ มันก็ไม่สมเหตุสมผลที่จะไล่ตามมัน ตอนนี้สิ่งที่เธอต้องทำคือร่วมมือกับหมอให้มากที่สุดและดูแลมัน แต่เดิมเด็กยังมีโอกาส 50% ที่จะอยู่ แต่มันลดลงเหลือแค่30% เพราะความเสียใจและความเบื่อหน่ายของเธอ บางทีอาจจะเป็นเดราะความกังวลของเธอที่ทำให้เด็กเป็นอันตราย"
คำพูดของต้วนอีเหยาทำให้เซี่ยอันนารู้สึกอับอายมากขึ้น แต่ในขณะเดียวกันเธอก็ตระหนักว่าเธอไม่สามารถหลบหนีได้อีกต่อไป
มองขึ้นไปที่ต้วนอีเหยา เซี่ยอันนาเช็ดน้ำตาและถามว่า:"ฉันต้องทำยังไงให้เข้มแข็งขึ้น?"
“ เชื่อในตัวลูกและตัวเธอเอง สงสัยคนอื่นได้แต่ต้องเชื่อมั่นในตัวเอง พูดคุยกับเขาให้มากขึ้น เชื่อฉัน เขาจะได้ยิน”
เมื่อมองลงไปที่หน้าท้องแบนราบของเธอ ต้วนอีเหยาพยักหน้าและว่า: "ฉันจะพยายาม"
เซี่ยอันนายกมือขึ้นเพื่อลูบท้องของเธอ เซี่ยอันนาพูดเบาๆ : "ลูกรัก ได้ยินแม่ไหม แม่จะอยู่ข้างๆหนูนะ"
เมื่อมองไปที่ท่าทางของเซี่ยอันนา ต้วนอีเหยายิ้มและพูดว่า: "อันนา มีบางอย่างที่คนอื่นช่วยเธอไม่ได้ เธอต้องก้าวไปข้างหน้าได้ด้วยตัวเองเท่านั้น"
เซี่ยอันนายิ้มและพูดว่า: "อืม"
“แบบนี้สิ ยิ้มให้มากขึ้น อย่าขมวดคิ้วปล่อยให้ลูกติดเชื้อ พาเขาพยายามไปด้วยกัน เธอต้องอยู่บนเตียงและพักผ่อนหลังจากนั้นไม่นาน เธอก็เดินเล่นรอบๆได้ มันไม่ได้น่าเบื่อขนาดนั้นหรอก"
"ฉันจะไม่คิดไปเรื่อย ฉันจะเล่านิทานให้ลูกและพูดคุยกับเขา"
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: วิวาห์สายฟ้าแลบ กับคุณสามีผู้ลึกลับ
ขอบคุณแอดค่ะ...สนุกค่ะ......
สนุก...