การปรากฏตัวของหลินจือเฟย ทำลายสถานการณ์ที่กำลังเข้าตาจนอยู่ตอนนี้
เมื่อหลินเทียนเฟิงเรียกสติกลับคืนมาได้ ก็มองมายังฉู่หลิวเยว่ด้วยท่าทีที่สับสน
“คุณหนูตู๋กูไปช่วยจือเฟยก่อนเถิด”
ฉู่หลิวเยว่ยิ้มบางประหนึ่งมิได้ยิ้ม แล้วเอ่ยตอบกลับทันควัน
“โอ้? เช่นนั้นเรื่องของคุณชายหลู่…”
“สำหรับเรื่องนี้ ประมุขหลินอย่างข้าจะเป็นคนจัดการเอง คุณหนูตู๋กู…มิต้องเป็นกังวล”
แม้ว่าเสียงของหลินเทียนเฟิงจะไม่ดังนัก แต่น้ำเสียงของเขากลับฉายแววความสง่างามที่ไม่อาจฝ่าฝืนได้
“เช่นนั้นก็ขอบพระคุณ ประมุขหลินมาก”
ได้ยินดังนั้นฉู่หลิวเยว่ก็ยิ้มให้เล็กน้อย ก่อนจะหมุนตัวเดินออกไป
หลู่อี้ที่ยืนอยู่ข้างๆ พานใจเต้นไม่เป็นจังหวะ
เอ่อ นี่พวกเขาไม่คิดจะวางแผนสืบสาวหาความผิดของตู๋กูเยว่แล้วกระนั้นหรือ?
“พี่เขย นางทำร้ายคนของข้าไปร่วมแปดคน แล้วเหตุใดจึงปล่อยให้เรื่องมันจบเช่นนี้เล่า!”
หลู่อี้ว่าพลางไล่ตามไป
หลินเทียนเฟิงขมวดคิ้วมุ่น
หลู่อวี้เออร์รู้สึกใจไม่ดี จึงรีบยื่นมือออกไปดึงหลู่อี้กลับมาไว้ได้ทันควัน ก่อนจะเรียกเตือนสติเขา
“หลู่อี้! คุณหนูตู๋กูเป็นเซียนหมอของจือเฟย ลำพังบนบ่าของนางก็แบกภาระอันหนักอึ้งไว้มากพอแล้ว เจ้าจะมาก่อปัญหาอันใดมิได้อีก!”
ได้ยินดังนั้น ในที่สุดหลู่อี้ก็เข้าใจเสียทีว่าเหตุใดเรื่องนี้จึงไม่ชอบมาพากล
เขาอ้าปากค้างด้วยความประหลาดใจและเอ่ยถามอย่างไม่อยากจะไม่เชื่อ
“พี่สาว นี่ท่านพูดกระไร ตู๋กูเยว่…นาง…
นางคือเซียนหมอที่มาเยือนหน้าประตูจวนเพื่อจะช่วยรักษาหลินจือเฟยหรือ!”
“ก็นางน่ะสิ!”
นี่ยังไม่ชัดเจนพออีกหรือ!
หลู่อี้ตะลึงไปชั่วขณะ
“เอ่อ เป็นไปได้เยี่ยงไร…”
เมื่อสองวันก่อน ตอนที่เขาเพิ่งได้พบนางผู้นั้น นางยังเป็นเพียงคนแปลกหน้าที่ไร้ตัวตนและภูมิหลังอยู่เลย แต่ผ่านไปแค่ไม่กี่ชั่วยาม นางจักกลายเป็นเซียนหมอของหลินจือเฟยไปเสียแล้ว!
เป็นนางนี่เองที่ได้เข้าร่วมงานวันคล้ายวันประสูติของโอรสสวรรค์ ในฐานะผู้ติดตามของตระกูลหลิน!
ความจริงที่ปรากฏขึ้นอย่างกะทันหันทำให้สมองของหลู่อี้ขาวโพลน
แม้ว่าเขาจะเป็นคนหุนหันพลันแล่นและเจ้าอารมณ์ แต่ก็มิใช่ผู้ที่จะไร้ปัญญาเสียทีเดียว
หากนางเป็นเซียนหมอผู้อื่นคงจะแล้วไป แต่บัดนี้ นางคือเซียนหมอของหลินจือเฟย!
อีกอย่าง ดูท่าแล้วหลินเทียนเฟิงค่อนข้างจะเชื่อใจและคอยปกป้องนางอยู่ไม่น้อย!
หรือแม้แต่หลินจือเฟยเองก็ออกหน้ารับแทนนางด้วย ซึ่งเป็นอันใดที่หาได้ยากนัก!
หลู่อี้รู้ดีว่าที่หน้าผาแดนสวรรค์แห่งนี้เขาดูเหมือนพวกไร้กฎเกณฑ์ แต่ความจริงแล้วเขาก็แค่อาศัยบุญบารมีของตระกูลหลินเท่านั้น
ไม่ว่าจะเป็นหลินเทียนเฟิงหรือหลินจือเฟย ก็ล้วนไม่ใช่ผู้ที่เขาควรจะไปรุกรานแบบโจ่งแจ้งอย่างแน่นอน!
หลังจากที่รอฉู่หลิวเยว่จากไป หลินเทียนเฟิงก็มองไปยังทั้งสองคน
ก่อนจะผละตัวออกจากเรียวแขนของหลู่อวี้เออร์ด้วยสีหน้าเรียบเฉย
หัวใจของหลู่อวี้เออร์จมดิ่งลง นางเกลียดตัวเองที่ก่อนหน้านี้ไม่ได้ถามให้ชัดเจน จนทำให้เกิดเหตุการณ์ใหญ่โตเช่นนี้ต่อหน้าหลินเทียนเฟิง!
“อวี้เออร์ เจ้ารู้เรื่องนี้มาก่อนหรือไม่?”
หลินเทียนเฟิงเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ
“ข้า ข้าไม่รู้!”
อวี้เออร์ปฏิเสธในสภาวะน้ำตาคลอเบ้าทันควัน
“ก่อนหน้าที่ข้าถามเขา เขาเอาแต่ปฏิเสธที่จะพูด บอกเพียงว่าจะต้องพบคุณท่านเสียก่อน และขอให้ยืนหยัดในความถูกต้องเขาถึงจะยอมพูด ผู้ใดเล่าจักรู้ว่ามันจะเป็นเช่นนี้”
หากว่านางรู้ก่อนเขา แล้วนางจะพาหลู่อวี้มาที่นี่เหตุใด!
หลินเทียนเฟิงไม่ได้สนใจความเศร้าโศกของนางนัก
แน่นอนว่านางเองก็ไม่รู้จริงๆ มิเช่นนั้นคงไม่กระทำเรื่องอุกอาจเยี่ยงนี้
หลินเทียนเฟิงไม่ได้ให้ความสนใจกับหลู่อวี้เออร์มาก และหันไปมองหลู่อี้แทน
หลู่อี้ตัวสั่นเทิ้ม
“เมื่อครู่เจ้าบอกว่าตู๋กูเยว่ทำร้ายคนของเจ้าร่วมแปดคนอย่างนั้นหรือ?”
หลินเทียนเฟิงเอ่ยถาม
หลู่อี้ลอบกลืนน้ำลายลงคอด้วยความตื่นตระหนก ก่อนจะพยักหน้า
หลินเทียนเฟิงจ้องมองเขานิ่งๆ ไม่ไหวติง
“เช่นนั้นเจ้าก็ว่ามาสิ ว่าเจ้าส่งคนแปดคนไปจัดการกับนางได้อย่างใด!”
…
“ขอบพระคุณ คุณชายสี่ที่ออกปากช่วยเหลือข้า”
หลังจากเดินเข้าไปในห้อง ฉู่หลิวเยว่จึงถือโอกาสเอ่ยคำขอบคุณ
หลินจือเฟยนั่งลงด้วยสีหน้านิ่งเรียบเช่นเคย
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยอดหญิงลิขิตสวรรค์
สนุกมากค่ะ...
อ่านสนุกมากค่ะ ติดตามอ่านทุกตอน...