ผู้อาวุโสเหวินซีใจกระตุกวูบ ก่อนจะหันไปมองเขาอย่างพินิจ ก่อนจะพบว่าใบหน้าของอีกฝ่ายนั้นดูปกติดี ดวงตาคมกริบกระจ่างชัดเจน ราวกับมิได้เมามายในสุรา?
แต่เสื้อผ้าของเขากลับมีกลิ่นฉุนของเมรัยลอยตลบอบอวล
เขาเบนสายตาไปมองจอกสุราที่ว่างเปล่า ดูเหมือนว่าน้ำเมาในจอกจะไม่ได้ไหลลงไปในลำไส้ หากแต่ไหลลงพื้นแทน
ผู้อาวุโสเหวินซีคว้าแขนของเขา แล้วลากอีกคนเข้าไปในห้อง พลันปิดประตูตามหลังเสร็จสรรพ
หลังจากแน่ใจแล้วว่าไม่มีใครป้วนเปี้ยนอยู่แถวนี้ ผู้อาวุโสเหวินซีก็หันมามองเขาด้วยสายตาจริงจัง
“วันนี้เจ้ามาที่นี่ เพื่อคุยกับข้าเรื่องนี้หรือ?”
ผู้อาวุโสฮวาเฟิงเดินไปหาเก้าอี้แล้วทิ้งตัวนั่งลงอย่างแรง คิ้วเข้มขมวดเป็นปมระคนดูสับสน
“เจ้าบอกว่า วันนั้นนางเข้ามาในเมืองฝางโจวแล้ว พูดตามตรงนางชอบเตร็ดเตร่ไปทั่ว แต่นี่ก็นานแล้ว นางควรจะกลับมาได้แล้วนะ? แต่แล้วเหตุใด…ข้าถึงไม่เห็นแม้แต่เงาของนาง?”
เพราะเหตุนี้ เขาถึงจงใจรออยู่ที่ฝางโจวสองสามวัน กระนั้นจนถึงตอนนี้ นางก็ยังไม่ปรากฏตัว
และยิ่งเวลาผ่านไป ผู้อาวุโสฮวาเฟิงก็ยิ่งปล่อยวางไม่ได้ ดังนั้นเขาจึงมาหาผู้อาวุโสเหวินซีที่สำนัก แล้วถามความเห็นของอีกฝ่าย
“นางเป็นเช่นนี้แต่ไหนแต่ไรแล้ว เอาแน่เอานอนกับนางไม่ได้หรอก บางทีนางอาจติดพันกิจธุระจนมาช้า ยิ่งไปกว่านั้น…ถึงนางจะกลับมาที่ฝางโจว แต่ก็ไม่มีใครล่วงรู้ว่านางจะกลับมาที่สำนักหรือไม่”
ผู้อาวุโสเหวินซีนั่งลงข้างเขา
“บางที นางอาจจะจากไปอีกแล้วก็ได้?”
ริมฝีปากของผู้อาวุโสฮวาเฟิงกระตุกเบาๆ พลันสบถเสียงต่ำอย่างอดไม่ได้
“เจ้าเด็กไร้หัวใจ!”
นางมาถึงฝางโจวแล้ว และด้วยความสามารถของนาง นางย่อมรับรู้ได้ว่าเขากับเหวินซีอยู่ที่นั่นในวันนั้น!
“หายหัวไปเสียหลายปี พอกลับมาทั้งที แม้แต่หน้าก็ยังไม่ได้เห็น! ลืมกฎเกณฑ์ที่เคยพร่ำสอนไปแล้วหรือ!”
ผู้อาวุโสเหวินซีมองเขาอย่างมีนัย
“นางเคยอยู่ใน ‘กฎเกณฑ์’ ด้วยหรือ?”
“…”
ปัง!
ผู้อาวุโสฮวาเฟิงกระแทกจอกสุราลงบนโต๊ะ
“ไม่กลับก็ไม่ต้องกลับ! ไม่มีนางคอยควบคุม ข้าจักดื่มสุราให้สาแก่ใจไปเลย!”
ผู้อาวุโสเหวินซีมองเขาอย่างเหนื่อยใจ
ครั้นมองดูสีหน้าไร้ชีวิตชีวาของเขา ย่อมรู้ว่าต่อให้เขาดื่มเข้าไปมากเพียงใด ก็ใช่ว่าเขาจะมีความสุข
“นางโตแล้ว มีความคิดความอ่านเป็นของตัวเอง ถ้าอยากกลับมา เดี๋ยวนางก็มาเอง เจ้าจักรีบไปไย”
ผู้อาวุโสเหวินซีหัวเราะเบาๆ
“ช่วงนี้เจ้าเพิ่งรับศิษย์มามิใช่หรือ? อบรมสั่งสอนให้ดีล่ะ! นางมิใช่แม้แต่ศิษย์ของเจ้ากับข้าด้วยซ้ำ ประเดี๋ยวได้เสียแรงเสียเวลาอยู่ที่นี่โดยเปล่าประโยชน์”
“เหอะ”
ผู้อาวุโสฮวาเฟิงเหลือบมองชั้นหนังสือด้านข้างด้วยเย้ยหยัน
“แล้วเจ้าปัดกวาดเช็ดถูตำราหายากเหล่านั้นเหตุใด? นอกจากนางแล้ว ไม่มีใครกล้าแอบอ่านตำราของเจ้าหรอก!”
“นี่เจ้า…”
ผู้อาวุโสเหวินซีถึงกับสะอึก
แว้งกัดกันเช่นนี้ ช่างน่ารำคาญที่สุด!
“พูดก็พูดเถอะ เจ้าเองก็รับศิษย์มาแล้วมิใช่หรือ? หลัวซือซือและจัวหมิงผู้นั้นล้วนเป็นต้นกล้าที่ไม่เลวเลย โดยเฉพาะหลัวซือซือ เมื่อเวลานั้นมาถึง นางจะอยู่ในสิบอันดับแรกบนรายชื่องานประลองชิงอวิ๋นแน่นอน”
“ฮึ่ม ตอนนี้ในหัวของเด็กนั่น มีแต่เรื่องของไอ้หนุ่มฉู่เยว่ผู้นั้น!”
ผู้อาวูโสเหวินซีอดไม่ได้ที่จะหยอกล้อ
“แต่เหมือนว่าพรสวรรค์ด้านนี้ของฉู่เยว่จะไม่เลวเลยนะ ก่อนหน้านี้พวกเราไม่เคยเอะใจเลย…”
พวกเขารู้อยู่แล้วว่าฉู่เยว่จะชนะหลิ่วจื่ออัน แต่พอเห็นกับตาก็ยังตกใจอยู่ดี
สามารถพัฒนาทักษะการต่อสู้ได้แบบก้าวกระโดดเช่นนี้ ยิ่งแสดงให้เห็นอันใดหลายๆ อย่าง
“ตอนแรกเขาบอกว่าเขาเป็นจอมยุทธ์ระดับเจ็ด และไม่ได้พูดอันใดเพิ่มเติม แล้วแบบนี้ใครจะเดาความคิดเขาได้? แต่ตามแผนของเขา เขาอยากเป็นยอดฝีมือด้านเซียนหมอ”
ผู้อาวุโสเหวินซียักไหล่
“สมใจไอ้แก่วั่นเจิงนั่นแล้ว อัจฉริยะผู้เปี่ยมไปด้วยจิตวิญญาณอันแรงกล้าเช่นนี้ หาตัวจับได้ยากนัก”
ทั้งสองคนนั่งหันหน้าเข้าหากันและเงียบไปสักพัก
ก่อนจะสบตากันครู่หนึ่ง
“ฮวาเฟิง เจ้าว่าฉู่เยว่ผู้นั้น มีส่วนคล้ายนางหรือไม่?”
…
พระจันทร์ดวงใหญ่ลอยสูงเด่นอยู่กลางท้องฟ้า
และไม่นานก็ถึงเวลาออกจากภูเขาหมื่นเมรัยแล้ว
ฉู่หลิวเยว่กลืนกินพลังปราณดั้งเดิมเส้นสุดท้ายเข้าไป แล้วค่อยๆ ลืมตาขึ้น
อีกไม่นาน นางก็ทะลวงได้แล้ว
ร่างเพรียวบางหันศีรษะไปมอง ก่อนจะเห็นถวนจื่อที่ลงไปแช่อยู่ในตาน้ำพุเสียครึ่งตัว ตั้งแต่ยามใดก็ไม่รู้
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยอดหญิงลิขิตสวรรค์
สนุกมากค่ะ...
อ่านสนุกมากค่ะ ติดตามอ่านทุกตอน...