คราบเลือดนั่นแทรกซึมเข้าไปในช่องรอยแตก และหากไม่สังเกตให้ดีๆ ก็แทบมองไม่เห็น
แถมยังดูคล้ำดำและแห้งกรังราวผ่านมานานแล้ว
องค์ไท่จู่ขมวดคิ้วและจ้องมองจี้หยกอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะยื่นมือออกไปช้าๆ
พร้อมกับความรู้สึกคุ้นเคยที่ผุดขึ้นมา
เขาค่อยๆ เปิดปากและเอื้อนเอ่ยด้วยความยากลำบาก
“…ใช่ นี่คือคราบเลือดของข้า และ… มันน่าจะมีเศษเสี้ยวของจิตวิญญาณข้า ถูกปิดผนึกไว้ข้างใน”
ฉู่หลิวเยว่เงยหน้ามองเขาด้วยความตกใจ
“จริงหรือ?”
นิ้วมืออันโปร่งแสงขององค์ไท่จู่ลูบคลำจี้หยกเก่าๆ นั่นไปมา
“… ใช่… เมื่อก่อนข้ามักจะพกจี้หยกนี่ติดตัวตลอด แต่ว่า… หลังจากนั้นเกิดเรื่องอันใดขึ้น ข้าเองก็จำไม่ได้แล้ว”
เขากล่าวอย่างเชื่องช้า น้ำเสียงอันทุ้มต่ำนั้นลอดผ่านริมฝีปากออกมาอย่างอ้อยอิ่ง ราวกับถูกสายลมอันเย็นยะเยือกที่เต็มไปด้วยกลิ่นสนิมของโลหิต และความทรงจำอันว่างเปล่าที่หายไปตามกาลเวลาถาโถมเข้าใส่
“ก่อนจะมาเห็นจี้หยกนี่ในวันนี้ ข้าไม่เคยนึกถึงมันเลยสักนิด และกระทั่งตอนนี้ ข้าก็ยังนึกไม่ออกว่าทำมันหายได้อย่างใด?”
ฉู่หลิวเยว่คิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วเดาว่า
“องค์ไท่จู่ หรือบางทีท่านอาจจะตั้งใจโยนจี้หยกทิ้ง?”
มิเช่นนั้นจะมีเศษเสี้ยวจิตวิญญาณของเขาสถิตอยู่ข้างในได้อย่างใด?
องค์ไท่จู่เงียบไปนาน ดวงตาของเขาดูลึกซึ้งแลหยั่งรากลึก
อันที่จริงลึกๆ แล้วเขาเองก็เห็นด้วยกับคำกล่าวของฉู่หลิวเยว่
ก่อนหน้านี้ฉู่หลิวเยว่เคยหลอมวิญญาณกระบี่ให้กระบี่ชื่อเซียวมาแล้ว และนั่นทำให้เขาตกใจเมื่อรู้ว่าตนนั้นมิใช่จิตสำนึกที่เหลืออยู่ หากแต่เป็นดวงวิญญาณ!
เขาคิดทบทวนเกี่ยวกับปัญหานี้มาพักหนึ่ง แต่สุดท้ายก็นึกถึงเหตุการณ์ในตอนนั้นไม่ออกอยู่ดี
จนกระทั่งเขาเห็นจี้หยกนี้ เขาถึงมั่นใจในสิ่งที่เคยสงสัยแล้วว่า
…ตัวเขายังมีชีวิตอยู่แน่ๆ!
ฉู่หลิวเยว่มองดูองค์ไท่จู่ด้วยสายตาที่ซับซ้อน
“องค์ไท่จู่ ท่านจำเรื่องในอดีตไม่ได้สักนิดเลยหรือ? หรือบางที… หากหลอมรวมวิญญาณในจี้หยกนี้เข้ากับดวงวิญญาณของท่าน อาจจะเป็นได้ข้อมูลมากกว่าเดิมก็ได้?”
องค์ไท่จู่ชะงักไปนิด ก่อนจะพยักหน้าช้าๆ
“ข้าจะลองดู”
ดวงวิญญาณทั้งสองของเขาถูกแยกจากกันมานานหลายพันปี อาจไม่ง่ายที่จะรวมมันเข้าด้วยกันอีกครั้ง
ฉู่หลิวเยว่กำจี้หยกในมือแน่น
“ไม่ต้องห่วง ข้าจะช่วยเจ้าอย่างสุดความสามารถ”
องค์ไท่จู่ยังมีชีวิตอยู่และได้พบกับเศษเสี้ยวดวงวิญญาณอีกส่วนแล้ว
ขอเพียงนำดวงวิญญาณทั้งหมดมาหลอมรวมกัน ก็จะมีโอกาสช่วยองค์ไท่จู่คืนร่าง และช่วยให้เขาเกิดใหม่ได้!
ความคิดนี้ทำให้ฉู่หลิวเยว่กระตือรือร้นขึ้นมาทีละน้อย
“ข้าจะไปหาผู้อาวุโสและถามเขาให้ชัดเจน บางทีเขาอาจจะรู้ว่าจี้หยกของท่านมาจากแห่งใด! หากได้ความแล้ว เราจะสามารถสืบค้นหาต้นต่อของเหตุการณ์ในตอนนั้น แล้วช่วยท่านได้!”
…
“ที่มาของจี้หยกนี้หรือ?”
ซั่งอวี้เซินมองจี้หยกในมือพลางขมวดคิ้ว และนึกถึงที่มาที่ไปของมันอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะส่ายหัวไปมา
“ข้าเองก็ไม่รู้เหมือนกัน”
ฉู่หลิวเยว่แอบรู้สึกผิดหวัง แต่ก็ยังถามอย่างไม่ยอมแพ้
“ท่านลองคิดดูอีกครั้งเถิด มันจะไม่มีเบาะแสใดๆ เลยหรือขอรับ?”
ซั่งอวี้เซินส่งจี้หยกคืนอย่างไม่ใส่ใจ
“ฉู่เยว่ เจ้าเองก็เห็นมิใช่หรือว่าหลังเขานั้นมีเศษวัสดุมากมายเพียงใด และเพราะว่ามีเยอะมาก แล้วข้าจะจำได้หรือว่าไปเอามาตอนไหน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงที่มาที่ไปของมันเลย จี้หยกเส้นนี้เองก็ด้วย… ข้าจำไม่ได้จริงๆ ว่าได้มันมาอย่างใด”
ฉู่หลิวเยว่รับจี้หยกคืนมา พลางหลุบตาลงมองต่ำ
ว่าแล้วว่าต้องเป็นแบบนี้
จี้หยกเส้นนี้ถึงเป็นหยกเนื้อดีเกินกว่าคนธรรมดาจะเอื้อมถึง แต่สำหรับช่างหลอมอาวุธอย่างซั่งอวี้เซินแล้ว มันก็เป็นเพียงแค่จี้หยกธรรมดาทั่วไป
มิเช่นนั้นเขาคงไม่สุ่มมันไว้ในกองวัสดุหลังเขาหรอก
แค่นี้เขายังไม่คิดจะมองเลย แล้วจักถามหาข้อมูลอันใดได้อีก?
“ขอบพระคุณขอรับ เช่นนั้นศิษย์จะลองหาทางอื่นดู”
เมื่อเห็นความพากเพียรของฉู่หลิวเยว่ ซั่งอวี้เซินก็เริ่มอยากรู้อยากเห็นขึ้นมา
“จี้หยกนี้สำคัญต่อเจ้าขนาดนั้นเลยหรือ?”
ฉู่หลิวเยว่กระชับจี้หยกในมือแน่น แล้วพยักหน้าอย่างจริงจัง
“มันเป็น… จี้ของบรรพบุรุษของศิษย์”
ซั่งอวี้เซินเข้าใจทันที
เช่นนั้นก็แปลก
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยอดหญิงลิขิตสวรรค์
สนุกมากค่ะ...
อ่านสนุกมากค่ะ ติดตามอ่านทุกตอน...