ผู้อาวุโสฮวาเฟิงรู้สึกประหลาดใจอยู่ไม่น้อย
“ใครกันรึ?”
ผู้อาวุโสปั๋วเหยี่ยนส่ายศีรษะ
“ไม่รู้เหมือนกัน แต่…ตอนที่พวกข้ากำลังประสบภัย เหมือนว่าจะมีคนคอยออกมือช่วยอยู่ในที่ลับจริงๆ พวกข้าถึงรอดมาได้อย่างหวุดหวิด มิเช่นนั้น…”
มิเช่นนั้น ดูจากสภาพของพวกเขาในตอนนั้นแล้ว คงไม่ได้มีคนตายแค่เจ็ดคนเป็นแน่
ทว่าตั้งแต่ต้นจนจบ อีกฝ่ายไม่ได้เผยตัวตนออกมาเลยแม้แต่น้อย เขาเองก็ไม่รู้ว่าควรจะเดาจากตรงไหน
“แม้แต่เจ้าเองก็ไม่รู้? เช่นนั้นก็ประหลาดแล้ว…คนแบบใดกันที่ช่วยพวกเราสำนักหลิงเซียวโดยไม่ประสงค์ออกนาม?”
ผู้อาวุโสฮวาเฟิงขมวดคิ้ว ทว่าเพียงชั่วครู่ก็ผ่อนท่าทีลงพลางเอ่ยแกมหัวเราะ
“ช่างเถอะ! มาคิดเรื่องพวกนั้นเอาตอนนี้คิดยังไงก็ไม่ออกหรอก พวกเรากลับไปก่อนค่อยว่ากัน! มีคนคอยช่วยถือเป็นเรื่องดี ภายหลังหากรู้ว่าเป็นผู้ใด พวกเราค่อยขอบคุณทีเดียวก็ยังไม่สาย!”
“อืม”
ผู้อาวุโสปั๋วเหยี่ยนผงกศีรษะรับ จากนั้นก็ทำท่าราวกับนึกอะไรขึ้นได้ ก่อนจะเอ่ยถามออกมาว่า
“จริงสิ แล้วพวกเจ้ามาได้อย่างไรกัน?”
พวกผู้อาวุโสฮวาเฟิงต่างสบตากันไปมา
ว่าแล้วเชียว…
เพราะคนที่ลงมือทำเรื่องนี้มีเจตนาปิดบังพวกเขา พวกปั๋วเหยี่ยนจึงไม่รู้ความจริงของเรื่องแม้แต่นิดเดียว
ผู้อาวุโสฮวาเฟิงหยิบเอาตราหยกสีเขียวอันหนึ่งยื่นส่งไปให้
“นี่มันของที่ข้าทำหายไปเมื่อก่อนหน้านี่?”
ผู้อาวุโสปั๋วเหยี่ยนรับมันมา แล้วกล่าวด้วยความแปลกใจอยู่ไม่น้อย
“พวกข้าได้รับข่าวที่มันส่งมาจากด้านบนก็เลยรีบเร่งเดินทางกันมา ทว่าพอมาแล้วถึงเพิ่งได้รู้ว่าไม่ใช่ฝีมือเจ้า”
ผู้อาวุโสฮวาเฟิงเอามือหนึ่งไพล่หลังพลางครุ่นคิดพักหนึ่ง
“จนกระทั่งตอนนี้ พวกข้าก็ยังไม่รู้ว่าผู้ที่อยู่เบื้องหลังคือใครกันแน่…วั่นเจิง!”
ในตอนที่เขากำลังพูดนั่นเอง ก็มองเห็นผู้อาวุโสวั่นเจิงกำลังเดินขึ้นมาจากข้างล่างพอดิบพอดี
ผู้อาวโสวั่นเจิงเงยหน้าขึ้นมองมาตามเสียง
ด้วยเดินออกมาจากคุกใต้ดินที่มืดครึ้ม จึงรู้สึกไม่คุ้นชินกับแสงสว่างจากภายนอกอยู่พอควร เป็นเหตุให้เขาต้องหรี่ตาลง
พอเห็นสีหน้าของผู้อาวุโสฮวาเฟิงที่ดูจะประหม่าอยู่ไม่น้อย เขาก็บังเกิดความฉงนขึ้นมาหลายส่วน
“มีอันใดรึ?”
ผู้อาวุโสฮวาเฟิงสูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ ก่อนจะเอ่ยออกมาด้วยความรู้สึกผิดเต็มเปี่ยม
“ขะ…ข้าต้องขอโทษเจ้าด้วย ที่ไม่ได้ช่วยเจ้าดูแลฉู่เยว่ให้ดี”
ผู้อาวุโสวั่นเจิงพลันตาสว่างขึ้นมาในทันใด
“เจ้าว่าอันใดนะ!?”
“เขา…ตอนนั้นเขาเดินทางมาพร้อมกับพวกข้า…แต่จู่ๆ ก็มีคนชุดดำกลุ่มหนึ่งปรากฏตัว บอกว่านายท่านของพวกมันต้องการพบเขา จากนั้นก็พาตัวเขาไป ข้า…อีกฝ่ายมีผู้แข็งแกร่งระดับเทพศักดิ์สิทธิ์ พวกข้าไร้กำลังต่อกร ทำได้แค่มองดูฉู่เยว่ถูกพาตัวไปต่อหน้าต่อตาเท่านั้น…”
ผู้อาวุโสวั่นเจิงสีหน้าเปลี่ยนไปในทันใด เขารีบสาวเท้าก้าวเข้ามาใกล้
“ฉู่เยว่เองก็มาที่นี่พร้อมกับพวกเจ้าอย่างนั้นรึ!”
ผู้อาวุโสฮวาเฟิงเม้มริมฝีปากแน่น ลำคอแห้งผาก
แม้จะเป็นฉู่เยว่ที่ร้องขอ ทว่าสุดท้ายแล้วก็ยังเป็นความรับผิดชอบของเขาด้วย
หากว่าตอนนั้นเขายืนกรานปฏิเสธไป แล้วเขาจะ…
สีหน้าของผู้อาวุโสวั่นเจิงทวีความซีดเผือดเข้าไปอีก
คนชุดดำ…
นั่นมิใช่คนพวกนั้นที่พวกเขาประมือด้วยเมื่อตอนก่อนหน้าหรอกหรือ?
แต่ว่า…
“เหตุใดพวกเขายืนกรานว่าจะพบฉู่เยว่ให้ได้กัน?”
อีกอย่าง ไหนจะนายท่านของฝั่งตรงข้ามอีก!
ขนาดพวกเขาอยู่ที่นี่กันเยอะถึงเพียงนี้ยังไม่มีใครได้ยินคนพวกนั้นพูดถึงนายท่านขึ้นมาเลยสักคำ
ผู้อาวุโสฮวาเฟิงหลับตาลง
“พวกข้าเอง…ก็ไม่รู้ เรื่องนี้เป็นความผิดข้า ทั้งหมดล้วนเป็นข้ารับผิดเพียงผู้เดียว…”
ผู้อาวุโสวั่นเจิงยกมือขึ้น เป็นเชิงหยุดไม่ให้เขาพูดต่อ
เขาสูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ พยายามอยู่นานกว่าจะระงับคลื่นอารมณ์ที่ถาโถมอยู่ในใจลงไปได้อย่างยากลำบาก
“ตอนนี้เขาอยู่ที่ไหน?”
น้ำเสียงของผู้อาวุโสวั่นเจิงเย็นเยียบขึ้นมาอยู่หลายส่วน
เขาใช้แรงไปไม่น้อยเลยทีเดียวกว่าจะห้ามตัวเองไม่ให้โมโหเป็นฟืนเป็นไฟได้
เพราะเขาเข้าใจดีว่านี่ไม่ใช่ความผิดของผู้อาวุโสฮวาเฟิงคนเดียวอย่างแน่นอน
แต่ถ้าหากเกิดเรื่องอะไรกับฉู่เยว่ขึ้นมาจริงๆ…
เขาก็ไม่รู้ว่าตัวเองจะยังใจเย็นแบบนี้ได้อยู่อีกหรือไม่!
ผู้อาวุโสฮวาเฟิงกำหมัดแน่น ในใจเอาแต่ตำหนิตัวเองกอปรกับความรู้สึกผิด
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยอดหญิงลิขิตสวรรค์
สนุกมากค่ะ...
อ่านสนุกมากค่ะ ติดตามอ่านทุกตอน...