“นี่มันก็ผ่านมานานขนาดนี้แล้ว เหตุใดยังไม่เห็นวี่แววที่จะฟื้นขึ้นมาเลย…”
ผู้อาวุโสวั่นเจิงทั้งรู้สึกกังวลและปวดใจ
เขาเห็นฉู่เยว่เป็นเด็กที่มีชีวิตชีวา เจ้าเล่ห์ และเฉลียวฉลาดอยู่เสมอ
แต่ทว่าฉู่เยว่ในตอนนี้ กลับนอนนิ่งๆ อยู่บนเตียงอย่างอ่อนแรง เปราะบางอ่อนแอเหมือนกับกระจกที่เพียงแค่สัมผัสเบาๆ ก็จะแตกร้าว
“เป็นแบบนี้ไปได้อย่างใด… ก่อนหน้านี้เด็กคนนี้ผ่านอันใดมากันแน่?”
หรงซิวชะงักไปเล็กน้อย จากนั้นก็ห่มผ้าห่มให้ฉู่หลิวเยว่เป็นอย่างดี
“ผู้อาวุโสวั่นเจิง พวกเราออกไปคุยข้างนอกกันเถอะ”
หากอยู่ตรงนี้จะเป็นการรบกวนนางได้
ผู้อาวุโสวั่นเจิงพยักหน้าอย่างเห็นด้วย
“ถูกต้อง! พวกเราออกไปคุยข้างนอกกันเถอะ ให้เขาได้พักผ่อนอย่างเต็มที่!”
ตอนที่พูดอยู่นั้น เขาก็ยังลดเสียงลงให้ต่ำด้วย เหมือนกลัวว่าจะเป็นการรบกวนฉู่หลิวเยว่
มุมปากของหรงซิวยกยิ้มเล็กน้อย
“เชิญ…”
ผู้อาวุโสวั่นเจิงไม่อยากจะจากไปอย่างมาก เขาเดินไปหนึ่งก้าวแทบจะหันมามองหนึ่งครั้ง
จนกระทั่งหรงซิวพูดว่าเขาได้วางค่ายกลเอาไว้ที่นี่แล้ว ไม่ว่าด้านในจะเกิดเรื่องอันใดขึ้น เขาจะรู้ได้ในทันที ผู้อาวุโสวั่นเจิงจึงสามารถวางใจลงได้
ทั้งสองคนเดินจากไปแล้ว ก่อนจะนั่งลงบนม้าหินในสวน
…
“ข้ารู้ว่าท่านมีคำถามมากมาย ท่านอยากถามเรื่องอันใด ก็ถามมาได้เลย หรงซิวตอบทุกสิ่งทุกอย่างที่รู้”
หลังจากที่นั่งลง หรงซิวก็พูดเข้าประเด็น
เขาเผชิญหน้ากับผู้อาวุโสวั่นเจิง ด้วยท่าทางตรงไปตรงมาและจริงใจ
หากเป็นคนอื่นก็ช่างเถิด แต่ตอนนี้ผู้อาวุโสวั่นเจิงเป็นอาจารย์ของฉู่หลิวเยว่ และยังเป็นหนึ่งในคนที่มีอำนาจในการดูแลนางมากที่สุดอีกด้วย
เดิมทีผู้อาวุโสวั่นเจิงมีความสงสัยมากมายเต็มไปหมด และมีคำถามที่อยากจะถามเยอะมาก
หลังจากเห็นว่าหรงซิวพูดขึ้นมาเช่นนี้ ในตอนนั้นเขาก็ไม่รู้ว่าควรจะเริ่มถามจากตรงไหนดี
หลังจากครุ่นคิดอยู่สักพักหนึ่ง เขาก็จัดการความคิดของตนเองได้แล้ว ในที่สุดก็เริ่มถามว่า
“ตอนนี้สภาพร่างกายของฉู่เยว่เป็นอย่างใดบ้าง?”
ระหว่างทางที่เขามาที่นี่นั้นเขารีบร้อนอย่างมาก รีบจนลืมตรวจชีพจรของฉู่เยว่ด้วยตนเอง
แต่หรงซิวก็เป็นเซียนหมอเช่นกัน อีกทั้งเขายังเป็นคนพาฉู่เยว่กลับมา น่าจะรู้ดีที่สุด
หรงซิวกล่าว
“เรื่องนี้ท่านวางใจได้เลย สภาพร่างกายของนาง…ไม่ได้เป็นอันใดมาก แม้ว่าก่อนหน้านี้จะได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย แต่หากพักฟื้นสักช่วงเวลาหนึ่งต้องสามารถหายดีได้อย่างรวดเร็วแน่นอน”
เขาเงียบไปอยู่ครู่หนึ่ง
“ท้ายที่สุดแล้ว…ท่านก็รู้ว่านางเพิ่งทะลวงจอมยุทธ์ระดับเก้า”
ในตอนนี้พลังฟื้นฟู และพลังอื่นๆ แข็งแกร่งเป็นอย่างมาก
ยิ่งเป็นนางแล้วไม่ต้องพูดถึงเลย
เมื่อได้ยินดังนั้น ผู้อาวุโสวั่นเจิงก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก ผ่อนมือแล้วกำ กำแล้วผ่อน ในแววตาของเขามีประกายความซับซ้อนจำนวนมากนับไม่ถ้วน สุดท้ายเขาก็ส่ายหน้าแล้วถอนหายใจออกมา ก่อนจะพูดอย่างจนปัญญา
“ตอนนี้ข้าไม่รู้ว่า ข้าควรจะเป็นห่วงเขาหรือว่าควรจะยินดีกับเขา”
ภายในช่วงเวลาสั้นๆ เรื่องที่ฉู่เยว่เลื่อนขั้นจากจอมยุทธ์ระดับแปดเป็นระดับเก้า เขาเคยได้ยินผู้อาวุโสฮวาเฟิงพูดมาคร่าวๆ แล้ว
เพียงแต่ว่าในตอนนั้นหัวใจของเขามีความกังวลมากกว่า จึงไม่ได้คิดอันใดมาก
ในขณะนี้ทุกคนต่างกลับมาแล้ว อีกทั้งสถานการณ์ของฉู่เยว่ก็เหมือนจะนิ่งขึ้นด้วย หลังจากนั้นเขาถึงค่อยค้นพบว่า เรื่องนี้… มันน่าตกใจมากขนาดไหน!
โอกาสแบบนี้ จะมีสักกี่คนที่ได้พบเจอ?
ครั้งนี้มีคนไปที่บุพกาลชายแดนเหนือเป็นจำนวนมาก แต่สุดท้ายก็ต้องกลับมาพร้อมความล้มเหลว
มีเพียงแค่ฉู่เยว่ที่ไม่ได้ไปในคราแรก แต่กลับกลายเป็นผู้ชนะในครั้งนี้
“เจ้าเด็กน้อย…โชคของเจ้านั้นไม่ธรรมดาเลยนะ!”
เมื่อเขาคิดไปแล้ว ผู้อาวุโสวั่นเจิงจึงได้แต่ใช้คำว่า “โชคดี” มาบรรยายเรื่องนี้เท่านั้น
ก่อนหน้านี้เขาเห็นกับตาว่าเด็กคนนี้ทะลวงด่านจอมยุทธ์ระดับแปด เขาก็รู้สึกตกใจมากพออยู่แล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าหลังจากผ่านไปไม่นาน เขาจะ…
“หึ หากด้วยความเร็วระดับนี้ ไม่ว่าวันไหนสักวันหนึ่งเขาก็จะสามารถทะลวงผ่านอาณาเขตเทพเซียน และกลายเป็นผู้แข็งแกร่งระดับเทพได้!”
ผู้อาวุโสวั่นเจิงรู้สึกผ่อนคลายขึ้นมาเล็กน้อย และอดพูดชื่นชมออกมาอีกประโยคไม่ได้
หรงซิวหลุบสายตาลงต่ำ ริมฝีปากยกยิ้มขึ้นเล็กน้อย
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยอดหญิงลิขิตสวรรค์
สนุกมากค่ะ...
อ่านสนุกมากค่ะ ติดตามอ่านทุกตอน...