เกล็ดสีม่วงนั้น มีขนาดเท่ากับเล็บนิ้วชี้ ส่องประกายสีจางๆ
หากมองดูอย่างละเอียดแล้ว ด้านบนจะมีการแกะสลักเล็กน้อย
มันคือสัญลักษณ์ของสำนักหลิงเซียว!
และเกล็ดแผ่นนี้นี้ คือเกล็ดที่เจ้าสำนักคนแรกทิ้งเอาไว้ให้!
ซึ่งด้านหลังจะแตกต่างจากเจ้าสำนักคนอื่น เจ้าสำนักคนนี้ไม่ได้ทิ้งชื่อสกุลของตนเองเอาไว้เลย มีเพียงแค่เกล็ดแผ่นนี้เท่านั้นที่แสดงฐานะของเขา
ความจริงแล้ว แม้ว่าสำนักหลิงเซียวจะเป็นสำนักอันดับหนึ่งในอาณาจักรเสิ่นซวี่ ชื่อเสียงโด่งดัง แต่กลับไม่มีใครทราบชื่อและสกุลของเจ้าสำนักคนแรกเลย
ในตอนนั้นเขาเดินทางไปทั่วแผ่นดิน ใช้นามแฝงมากมาย แต่ใครจะรู้เล่าว่าชื่อไหนจริง ชื่อไหนเท็จ
หลังจากที่เขาสร้างสำนักหลิงเซียวแล้ว ผู้คนจึงเรียกเขาเป็นเสียงเดียวกันว่า “เจ้าสำนัก”
เวลาหลายหมื่นปีผ่านไป ทะเลกลายเป็นนา สรรพสิ่งยังเหมือนเดิมแต่ผู้คนเปลี่ยนไป
ข่าวลือและตำนานที่เกี่ยวข้องกับคนผู้นั้น ส่วนใหญ่ก็ได้หายสาบสูญไปพร้อมกับวันเวลา ไม่มีใครพูดถึงขึ้นมาอีก
มีเพียงอดีตเจ้าสำนักเท่านั้นที่จะมีสิทธิ์รับรู้ชื่อที่แท้จริงของเขา
แม้ว่าตอนนี้ผู้อาวุโสปั๋วเหยี่ยนเขาจะเป็นคนที่ดูแลทุกเรื่องราวในสำนัก แต่ว่าเขาก็ยังไม่มีอำนาจที่จะทราบชื่อของเจ้าของเกล็ดนี้
เขาจ้องมันอยู่สักพักหนึ่ง ก่อนจะเบี่ยงสายตาออกไปแล้วมองไปยังชื่อสุดท้ายของหน้านี้
ไม่รู้ว่าคนพวกนี้ไปอยู่ที่ไหนแล้ว…
“เจ้าสำนัก ท่านรีบกลับมาสักหน่อยสิ…”
ผู้อาวุโสปั๋วเหยี่ยนอดที่จะทอดถอนหายใจออกมาไม่ได้
ก๊อกๆ!
เสียงเคาะประตูดังขึ้นอย่างกะทันหัน ขัดจังหวะความคิดของผู้อาวุโสปั๋วเหยี่ยน
“ปั๋วเหยี่ยน เกิดเรื่องขึ้นแล้ว!”
นั่นคือเสียงของผู้อาวุโสเหวินซี น้ำเสียงแฝงไปด้วยความกังวลที่หาได้ยากยิ่ง
หัวใจของผู้อาวุโสปั๋วเหยี่ยนดำดิ่งลงเล็กน้อย จากนั้นก็ปิดหนังสือลง แล้วเก็บขึ้นอย่างระมัดระวัง ก่อนจะลุกขึ้นไปเปิดประตู
ประตูบานใหญ่เปิดขึ้น สายตาของเขาสบเข้ากับดวงตาที่เต็มไปด้วยความกังวลของผู้อาวุโสเหวินซีพอดี
“เกิดอันใดขึ้นหรือ?”
เขาแทบจะไม่เคยเห็นสีหน้าแบบนี้ของผู้อาวุโสเหวินซีมาก่อนเลยด้วยซ้ำ
ผู้อาวุโสเหวินซีกลืนน้ำลายลงอย่างยากลำบาก
“พวกเขามาแล้ว!”
“พวกเขา?”
“ตระกูลใหญ่ที่เคยไปบุพกาลชายแดนเหนือในครั้งนี้!” ผู้อาวุโสเหวินซีพูดขึ้นมาด้วยความรวดเร็ว
“พวกเขาบอกว่า…มีเรื่องบางอย่างที่อยากจะถามฉู่เยว่ให้ชัดเจน และให้พวกเราส่งตัวฉู่เยว่ออกไป!”
“ไร้สาระ!”
ผู้อาวุโสปั๋วเหยี่ยนโมโหขึ้นมาแล้ว
“เรื่องทั้งหมดนี้มีคนวางแผนการเอาไว้เบื้องหลังอยู่แล้ว พวกเขาไม่สามารถหาผู้กระทำผิดที่แท้จริงได้ ดังนั้นจึงมาหาเรื่องฉู่เยว่หรือ?”
นี่มันไม่สมเหตุสมผลอย่างยิ่ง!
“ปั๋วเหยี่ยน…”
ผู้อาวุโสเหวินซีสูดลมหายใจเข้าลึกๆ
“คนของพวกเขาล้วนมีคนเสียชีวิตในเทือกเขาเก้าวิถี เจ้าก็รู้ว่า ฉู่เยว่เป็นเพียงคนเดียวที่เข้าไปที่นั่น อีกทั้งยังเป็นคนเดียวที่ได้รับประโยชน์จากที่แห่งนั้น พวกเขา…พวกเขารู้สึกว่าเรื่องนี้ ฉู่เยว่ควรจะต้องออกมาให้คำอธิบาย…”
หากพูดตามตรงแล้วละก็ เจียงจื่อหยวนก็เคยเข้าไปด้านในด้วยเช่นกัน
แต่นางเข้าไปได้ไม่นานเท่าไร ก็ถูกฉู่เยว่ไล่ออกมา
อีกทั้งหลังจากผ่านช่วงเวลาเหล่านั้นไป และไม่รู้ว่าฉู่เยว่ทำได้อย่างไร เขาสร้างม่านพลังขวางกั้นเอาไว้ คนอื่นไม่สามารถเข้าไปด้านในได้
เรื่องเหล่านี้ล้วนเป็นความจริง ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้
การที่พวกเขาจะผลักเรื่องนี้ไปใส่ฉู่เยว่ ก็ใช่ว่าจะไม่มีมวลความจริงเลย
ไม่อย่างนั้นแล้วล่ะก็ พวกเขาคงไม่มีทางร่วมมือกันเช่นนี้ และมาบังคับสำนักหลิงเซียวถึงหน้าประตูอย่างนี้!
ผู้อาวุโสปั๋วเหยี่ยนขมวดคิ้วมุ่น
เขาไม่ได้เห็นเรื่องเหล่านี้ด้วยตาตนเอง แต่ก็เคยได้ยินผู้อาวุโสฮวาเฟิงพูดมาบ้าง
ในตอนนั้นเขายังรู้สึกอย่างคลุมเครือว่ามันมีอันใดบางอย่างผิดปกติ แต่ในตอนนี้…เรื่องยุ่งยากได้มาถึงแล้ว!
“ข้าจะไปหาพวกเขาด้วยตนเอง!”
…
เมืองฝางโจว
ถนนหนทางที่เคยพลุ่กพล่านเต็มไปด้วยผู้คน แต่ตอนนี้กลับอ้างว้างเปล่าเปลี่ยว
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยอดหญิงลิขิตสวรรค์
สนุกมากค่ะ...
อ่านสนุกมากค่ะ ติดตามอ่านทุกตอน...