“จะให้ข้าจ่ายก็ไม่ใช่ว่าไม่ได้ แต่ว่าข้าเองก็สมควรที่จะได้รู้สถานะของเจ้าก่อนมิใช่หรือ?”
ฉู่หลิวเยว่เอ่ยอย่างใจเย็น
เห็นฉู่หลิวเยว่มีท่าทีเช่นนี้ บุรุษผู้นั้นก็คิดว่านางหวาดกลัว จึงยิ่งแสดงท่าทีจองหองยิ่งกว่าเก่า
“ข้าเป็นศิษย์จากสำนักแปดวิถี นามว่าอู่จ้าว!”
ฉู่หลิวเยว่หรี่ตาลง
แปดวิถี… เป็นเพียงสำนักชั้นปลายแถวในเมืองซีหลิงเท่านั้น
คิดไม่ถึงเลยว่า ตอนนี้แม้แต่คนอย่างพวกเขาก็กล้ามาคุยโวโอ้อวดที่จัตุรัสผิงเหลียงด้วย
“ข้าไม่ได้ถามว่าเจ้าชื่ออันใด ข้าถามว่า… เจ้าถือสิทธิ์อันใดมาเอาเงินข้า? ฟังดูแล้ว เจ้าเองก็ดูหาใช่ขุนนางในราชสำนักไม่?”
อู่จ้าวตะลึงไปชั่วขณะ ก่อนจะเข้าใจความหมายของฉู่หลิวเยว่
เขากำหมัดแน่น ก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว
เมื่ออยู่ภายใต้รูปร่างที่กำยำของเขา ยิ่งขับให้ฉู่หลิวเยว่ดูบอบบางมากกว่าเก่า
“ถือสิทธิ์อันใด? แน่นอนว่ากำปั้นของข้าอย่างใดเล่า! วันนี้หากเจ้าไม่จ่ายเงินมา ก็อย่าหวังว่าจะได้ออกไปจากที่นี่!”
นี่ก็ชัดเจนแล้วว่าจะรีดไถเงินกันจริงๆ
ค่ายกลเคลื่อนย้ายมากมายในจัตุรัสผิงเหลียง ทุกอย่างล้วนอยู่ภายใต้การครอบครองของราชวงศ์เทียนลิ่ง
ในสถานการณ์ปกติ เพียงแค่ไม่ใช่โอกาสพิเศษ ค่ายกลเคลื่อนย้ายเหล่านี้ล้วนเอื้ออำนวยให้แก่เหล่าผู้ฝึกตนได้ใช้
ทว่าการป้องกันค่ายกลเคลื่อนย้ายเหล่านี้ ย่อมผลาญกำลังทรัพย์มหาศาล ดังนั้นโดยปกติแล้วจึงมีการเก็บค่าดูแลป้องกันในลักษณะเฉพาะ
อย่างใดก็ตาม ถึงแม้ว่าค่ายกลเคลื่อนย้ายที่นางใช้จะมีขนาดใหญ่ที่สุด แต่ตามปกติแล้ว หากมาสิบคนก็ยังสามารถเก็บผนึกศิลาขาวคนละอันได้
อู่จ้าวผู้นี้เปิดปากเรียกถึงสิบอัน ดูอย่างใดก็มีเจตนาคิดรีดไถ!
ที่สำคัญที่สุดก็คือ แม้ว่าผู้ที่รับผิดชอบในการป้องกันค่ายกลเคลื่อนย้ายคือทหารม้าทมิฬ แต่โดยปกติพวกเขาเพียงแค่ดูแลรักษาความสงบเรียบร้อยในเมืองเท่านั้น ส่วนเรื่องการเก็บภาษี ส่วนมากจะมอบให้สำนักต่างๆ ในเมืองซีหลิงจัดการ
คนจากสำนักเหล่านี้ยามใช้ค่ายกลเคลื่อนย้ายมักได้รับสิทธิ์พิเศษ อีกทั้งยังเก็งกำไร ช่างเป็นความสมัครสมานสามัคคีในสำนัก
ดังนั้น ถึงแม้ว่าพื้นที่โดยรอบจะมีทหารม้าทมิฬออกลาดตระเวนอยู่ไม่น้อย ทว่าเมื่อดูตอนอู่จ้าวเข้ามาหาเรื่องฉู่หลิวเยว่แล้วนั้น กลับไร้ซึ่งคนเข้ามาขัดขวาง
โดยปกติแล้ว ขอเพียงแค่ไม่ถึงขั้นคร่าชีวิตใคร พวกเขาล้วนมิใส่ใจอันใดทั้งสิ้น
เจี่ยนเฟิงฉือเองสองมือกอดอก เฝ้าดูคนทั้งสองฝ่ายโต้ตอบกันพลางอมยิ้ม
อู่จ้าวผู้นี้เป็นเพียงนักรบระดับห้าขั้นแรก ถ้าหากว่าเขาลงมือ นั่นย่อมมิใช่ปัญหา
แต่ว่า… ดูเหมือนฉู่หลิวเยว่จะไม่อยากให้เขาสอดมือเข้าไปยุ่งเท่าไรนัก
เขาเองก็อยากดูอยู่พอดี หลังจากมาถึงเมืองซีหลิงแห่งนี้แล้ว ฉู่หลิวเยว่คิดจะจัดการปัญหาเหล่านี้เช่นไร!
ฉู่หลิวเยว่เลิกคิ้วขึ้น
เจี่ยนเฟิงฉือสามารถช่วยนางได้ครั้งหนึ่ง แต่กลับไม่สามารถช่วยครั้งที่สอง ครั้งที่สาม หรือครั้งอื่นๆ ได้!
อีกอย่าง กฎของซีหลิงนางเองก็รู้อยู่แก่ใจ
ถ้าหากนางไม่มีปัญญาแก้ไขเรื่องนี้ด้วยตนเอง เช่นนั้นนางก็มิแคล้วถูกเรียกว่าผู้อ่อนแอในสายตาผู้อื่น!
“ถ้าหากข้าบอกว่าไม่ล่ะ?” ฉู่หลิวเยว่ถามกลับด้วยน้ำเสียงเนิบนาบ
อู่จ้าวฉีกยิ้มเย็นเยียบ
“แม่นาง ดูเหมือนว่าเจ้าเพิ่งเคยมาซีหลิงครั้งแรกสินะ มีกฎบางข้อที่เจ้ายังไม่เข้าใจ! ข้าแนะนำให้เจ้าจ่ายเงินเสียแต่โดยดีเถิด หาไม่แล้ว… หากใบหน้าที่งดงามเช่นนี้ต้องเสียโฉม คงน่าเสียดายแย่…”
“ข้าบอกว่า…ไม่”
ฉู่หลิวเยว่พูดอีกรอบด้วยน้ำเสียงเด็ดขาด
รอยยิ้มบนหน้าอู่จ้าวหายไปในพริบตา เผยให้เห็นใบหน้าอัปลักษณ์ฉายแววโหดเหี้ยม
“ไม่อยากจ่ายก็ย่อมได้ แต่ต้องเอาชนะข้าให้ได้ก่อน!”
สิ้นคำ เขาก้มลงมองฉู่หลิวเยว่อีกครั้งหนึ่ง ไอลมปราณพวยพุ่งไปทั่วร่างกาย จนแทบจะปกคลุมทั่วร่างฉู่หลิวเยว่
ฉู่หลิวเยว่ผงกหัวรับคำ คลี่ยิ้มบางเบา
“ตกลง!”
สิ้นประโยค รอบข้างพลันเงียบลงในบัดดล
อู่จ้าวย่นหัวคิ้วเข้าหากัน
“เจ้าว่าอันใดนะ?”
ฉู่หลิวเยว่ชี้นิ้วเข้าหาตัวเอง
“ข้าพูดว่า…ตกลง!”
ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ว่านางไม่มีผนึกศิลาขาวไว้กับตัวเลย ต่อให้มี นางก็ไม่สามารถใช้มันอย่างสิ้นเปลืองในที่แห่งนี้แน่!
อู่จ้าวหัวเราะด้วยความโมโหถึงขีดสุด
“ดี! ดี! ดี! เจ้าเป็นคนพูดเองนะ อย่ามาเสียใจทีหลังแล้วกัน!”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยอดหญิงลิขิตสวรรค์
สนุกมากค่ะ...
อ่านสนุกมากค่ะ ติดตามอ่านทุกตอน...