ในวันที่ท้องฟ้าสดใส ไร้ซึ่งเมฆหมอก
ผู้คนมากมายในเมืองซีหลิงต่างพากันแห่ไปยังแอ่งสี่ทิศ
ซึ่งที่แห่งนั้นก็คือ สถานที่จัดงานประชุมสำนักวิชานั่นเอง!
และแอ่งสี่ทิศนั่นตั้งอยู่บนถิ่นทุรกันดารทางตะวันตกเฉียงใต้ของเมืองซีหลิง
เมื่อหลายร้อยปีก่อน แต่เดิมที่ตั้งของแอ่งสี่ทิศนั้นเป็นเทือกเขา ทว่าต่อมากลับมีบุรุษผู้แข็งแกร่งสองคนมาต่อสู้กันที่นี่ หลังจากผ่านไปสามวันสามคืน ภูเขาใกล้เคียงทั้งหมดก็ถูกทำลายจนสิ้นซาก และเหลือเพียงร่องน้ำที่มีลักษณะคล้ายเครื่องหมาย “บวก” ไว้บนพื้นราบแห่งนี้
ร่องน้ำลึกค่อยๆ ขยายออกตามกาลเวลา และตอนนี้มันได้กลายเป็นแอ่งน้ำที่มีรอยแยกลึกสองรอยตัดกันเป็นกากบาท
ทุกปีพวกเขาก็จะจัดงานประชุมสำนักขึ้นที่นี่
และปีนี้เองก็เช่นกัน
แต่ทว่างานประชุมสำนักครั้งนี้ แตกต่างไปจากครั้งก่อนอย่างเห็นได้ชัด
เพราะทุกคนรู้ดีว่าการจัดอันดับของสำนักวิชาในเมืองซีหลิงคราวนี้ มีแนวโน้มว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เกิดขึ้น!
แม้จะยังเช้าอยู่มาก แต่แอ่งสี่ทิศกลับเต็มไปด้วยผู้คนมาพร้อมใจกันเข้ามาดูงานด้วยความตื่นเต้น
“ได้ยินว่าครั้งนี้สำนักพันธมิตรเก้าดาราจะขอท้าสำนักซงซูเก๋อ และถ้าฝั่งนั้นทำได้จริง เกรงว่าตำแหน่งหนึ่งในสี่สำนักวิชาหลักของชงซูเก๋อ คงได้ตกเป็นของฝ่ายนั้นแน่ๆ!”
“ฮ่าๆ! แต่ข้าได้ยิน ทางสำนักเพลิงศักดิ์สิทธิ์เองก็วางแผนจะทำเช่นนี้!”
“ท่ามกลางบรรดาสำนักทั้งหมด เจ้าว่าสำนักใดไร้ค่าที่สุด? ถ้าตอนนี้ก็แน่นอนว่าต้องเป็นชงซูเก๋อที่ไร้คุณสมบัติสุดๆ และในเมื่อไร้คุณสมบัติ ก็ย่อมถูกคนอื่นแทนที่เป็นธรรมดามิใช่หรือ?”
“ไหนว่าอวี้ฉือซงได้ลูกศิษย์มากคุณภาพไปตั้งสองคน…ไม่แน่นะ พวกเขาอาจ…”
“เจ้าหมายถึงฉู่หลิวเยว่กับเชียงหว่านโจวรึ? เหอะๆ เด็กสองคนนั้นไม่เลวเลย แต่ถ้าจะบอกว่าพวกเขาสองคนสามารถฟื้นฟูชงซูเก๋อได้ล่ะก็ ข้าไม่เชื่อเด็ดขาด!”
พระอาทิตย์ดวงโตค่อยๆ ลอยขึ้นสู่ท้องนภาตามเวลาที่เปลี่ยนไปเรื่อยๆ
จากนั้นสาวกจากนิกายหลักก็เดินเข้ามาทีละคน และหากอ้างอิงจากกฎการแข่งตั้งแต่สมัยก่อน นอกจากเรื่องที่สี่สำนักจักต้องทำการแข่งขันแล้ว ก็ยังมีสถานที่แข่งขันให้เลือกอีกสี่แห่ง
ซึ่งสำนักวิชาหลักในเมืองซีหลิงเคยเผชิญกับการแข่งขันที่ดุเดือดมาก่อน และมีเพียงผู้ชนะสี่อันดับแรกเท่านั้นที่มีสิทธิ์มาที่นี่
นั่นก็คือสำนักพันธมิตรเก้าดารา สำนักเพลิงศักดิ์สิทธิ์ สำนักนิมิตสวรรค์ และสำนักหลิงอวิ๋นจง
แน่นอนว่าในวันนี้ ผู้นำของสำนักใหญ่ต่างๆ ก็จะมาปรากฏตัวที่นี่เช่นกัน
ผู้อาวุโส และสาวกบางคนเดินเข้าไปในประตูพร้อมกัน
ใบหน้าของสาวกรุ่นเยาว์เหล่านั้นล้วนเต็มไปด้วยความเย่อหยิ่งของอัจฉริยะ และความตื่นเต้นในดวงตา รวมทั้งความกระตือรือร้นอยากอวดวิชาที่พวกเขามั่นใจนักหนาให้แก่ชาวเมืองได้เยินยล
เพราะแม้แต่ศิษย์ของนิกายหลักทั้งสี่เองก็ยังไร้ความสามารถ และเข้ามาที่นี่เหมือนพวกเขาไม่ได้ด้วยซ้ำ
ผู้ที่สามารถมาที่นี่ได้ ล้วนเป็นสำนักชั้นยอดทั้งหมด
ผู้คนจากสำนักใหญ่ๆ เดินทางมาถึงทีละคน พลางแลกเปลี่ยนบทสนทนากันไม่หยุดหย่อน
ทว่าสายตาของพวกเขากลับมองซ้ายทีขวาทีราวหวาดระแวง
ก่อนจะมีการซุบซิบนินทากันเกิดขึ้น
“ตอนนี้ทุกสำนักมากันครบแล้ว ขาดก็แต่ชงซูเก๋อ เหตุใดพวกเขายังมาไม่ถึงอีก?”
“คงไม่ใช่ว่าถอดใจไม่เข้าร่วมแล้วหรอกนะ…ได้ข่าวว่าชงซูเก๋อเหลือศิษย์อยู่เพียงสิบกว่าคนเท่านั้น แค่ให้มาเอาหน้ายังไม่ไหวเลย…”
“เหลือเวลาอีกสี่ชั่วโมงก่อนงานประชุมจะเริ่ม ถ้ามาไม่ทัน จะถือว่าพวกเขาสละสิทธิ์โดยทันที…”
เจ้าสำนักพันธมิตรเก้าดาราอย่าง จางหัว หัวเราะหน้าระรื่นพลางเอ่ยอย่างขบขัน
“ถ้าครั้งนี้ชงซูเก๋อไม่มาจริงๆ เช่นนั้นคงต้องปลดออกจากตำแหน่งสี่สำหนักหลักแล้วกระมั้ง?”
ทว่าสิ้นประโยคนั้น จู่ๆ กลับมีเสียงที่ทรงพลัง และหนักแน่นดังขึ้นมากลางอากาศ!
“ถึงข้าจักต้องสละตำแหน่ง แต่ใครบางคนแถวนี้จักไม่มีวันได้ครอบครอง!”
จากนั้นฝูงชนที่เคยส่งเสียงเจี๊ยวจ๊าวก็เงียบลงทันที พลันเงยหน้าขึ้นมองอย่างพร้อมเพรียง
ก่อนจะเห็นร่างของคนกลุ่มหนึ่งลอยอยู่บนท้องฟ้า!
ซึ่งคนแรกที่นำหน้า ถ้าไม่ใช่อวี้ฉือซงแล้วจะเป็นใครได้อีก?
พวกชงซูเก๋อมาจริงๆ ด้วย!
ท่ามกลางสายตานับร้อย อวี้ฉือซงเดินทางมาถึงพร้อมลูกศิษย์ของเขา!
หลังจากที่เท้าแตะพื้น อวี้ฉือซงก็เหลือบมองจางหัวพลางเอ่ยเสียงเรียบ
“แค่ข้ามาช้าไปครู่เดียว ก็มีคนกระเหี้ยนกระหืออยากเสียบแทนตำแหน่งของข้าแล้วหรือ?”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยอดหญิงลิขิตสวรรค์
สนุกมากค่ะ...
อ่านสนุกมากค่ะ ติดตามอ่านทุกตอน...