กลุ่มคนทั้งหมดเลยหน้าขึ้นมองทันควัน
ก่อนจะเห็นเงาของคนสองเข้าที่พุ่งเข้ามาดั่งสายลมโดยใช้กระบี่เล่มยาวเป็นยานพาหนะ
คนที่อยู่ข้างหน้าแต่งกายด้วยชุดคลุมสีดำ ผมสีดำยาวปลิวไสว ใบหน้างามแต่งแต้มไปด้วยรอยยิ้มอันเจิดจ้า
คนผู้นั้นคือ ฉู่หลิวเยว่!
และคนที่อยู่ข้างหลังนาง ก็คือชายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่งผู้สวมชุดผ้าลินินสีเทา ผิวของเขาขาวใสจนดูเหมือนโปร่งแสงได้ก็มิปาน ใบหน้าของเขางดงามน่ามอง อีกทั้งผมสีทองนุ่มสลวยที่พลิ้วไหวไปตามสายลม แม้สีหน้าของเขาจะดูเย็นชาเพราะคิ้วที่ขมวดมุ่นตลอดเวลา แต่ก็ยังคงมีเอกลักษณ์ความอ่อนเยาว์ และความกระฉับกระเฉงของวัยแรกแย้ม
ซึ่งเขาก็คือ เชียงหว่านโจว!
ใต้ฝ่าเท้าของทั้งสองคน พวกเขาเหยียบกระบี่นกยูงสีฟ้าที่มีแสงจางๆ บินเข้ามา ราวกับกระบี่เล่มนั้นเป็นทางช้างเผือกที่พาดผ่านท้องฟ้ายามค่ำ
พวกเขาบินผ่านพื้นที่ต่างๆ เข้ามาอย่างโดยไร้เสียงรบกวน และทิ้งเพียงรอยแยกสีดำไว้ในอวกาศ ช่างเป็นพลังปราณที่น่าทึ่งจริงๆ
พวกแต่งตัวเสมือนคนธรรมดา แต่ชุดเหล่านั้นกลับไม่สามารถปกปิดรูปลักษณ์ และลมปราณที่โดดเด่นของพวกเขาได้
ทันทีที่สองร่างปรากฏขึ้น ก็ดึงดูดสายตานับไม่ถ้วนได้ทันที
อวี้ฉือซงถอนหายใจด้วยความโล่งอก พลันรอยยิ้มจางๆ ก็ปรากฏบนใบหน้าของเขา
เหล่าศิษย์น้อยใหญ่ของชงซูเก๋อเองก็ตื่นเต้นดีใจเช่นกัน
ลู่จือเหยากระโดดไปมาอย่างตื่นเต้นและโบกมือให้ทั้งสองคน
“ศิษย์น้องหญิง! ศิษย์น้องชาย! พวกเราอยู่ทางนี้! โอ๊ย…เจ็บโว้ย!”
แต่เพราะเขาตื่นเต้นเกินไป บาดแผลที่เพิ่งปิดจึงเปิดออกอีกครั้ง จนเขาต้องกัดฟันยิ้มด้วยความเจ็บปวด
เย่หรานหร่านรีบเข้าไปเอ็ดอย่างไว
“ศิษย์พี่ลู่ ระวังหน่อยปะไร!”
“ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร! พวกนั้นอยู่ที่นี่แล้ว ข้าเองก็โล่งใจ! บาดแผลแค่นี้ไม่เห็นจะเจ็บตรงไหนเลย?”
ลู่จือเหยายิ้มกว้างราวไม่ใส่ใจ
ด้วยเหตุผลบางอย่าง เมื่อเขาเห็นฉู่หลิวเยว่ หัวใจที่กระสับกระส่ายของเขา ก็ดูเหมือนจะสงบลงทันที
ราวกับว่ามีพลังที่มองไม่เห็นอยู่ในตัวของนาง ซึ่งสามารถทำให้ผู้คนเชื่อมั่นในตัวนางโดยไม่มีเงื่อนไข
มิหนำซ้ำ ตราบใดที่นางอยู่ที่นี่ ก็ไม่มีอะไรต้องเป็นห่วงแล้ว
เย่หรานหร่านหยุดยิ้มออกมาอย่างห้ามไม่ได้
“ใช่แล้ว! พวกเขามาแล้ว เช่นนั้นพวกเราต้องชนะแน่นอน”
ฉู่หลิวเยว่และเชียงหว่านโจวกระโดดลงมายืนบนพื้น
ฝูงชนรอบข้างหลีกทางให้โดยอัตโนมัติ
ทั้งสองเดินตรงไปยังบริเวณที่ทุกคนในชงซูเก๋อยืนอยู่
“ท่านอาจารย์”
ทั้งสองคนทำความเคารพอย่างนอบน้อม
“พวกข้ามาช้าไปหรือเปล่า?”
“ไม่ช้าไปหรอก พวกเจ้ามาทันเวลา…”
ในขณะที่อวี้ฉือซงกำลังพูด สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน ก่อนจะสำรวจตรวจมองฉู่หยิวเยว่อย่างละเอียด พลันขมวดคิ้วและถามอย่างเร่งรีบ
“หลิวเยว่ นี่เจ้าไปทำอันใดมา? เหตุใดจึงมีบาดแผลเต็มตัวเช่นนี้?”
มือทั้งสองข้างของฉู่หลิวเยว่เต็มไปด้วยรอยแผลเป็น
และถ้ามองดีๆ ก็จะเห็นว่ามันเป็นแผลที่เพิ่งเกิดขึ้นได้ไม่นาน
อีกทั้งลมปราณที่เต็มไปด้วยไอโลหิตเข้มข้นบนตัวนางอีก
ฉู่หลิวเยว่ยิ้มบาง
“ท่านอาจารย์ อย่าเพิ่งสอบปากคำข้าเลย ไว้ข้าจะชี้แจ้งให้ท่านทราบเมื่อจบการประลอง แต่ท่านอย่าได้เป็นกังวลนัก เพราะแผลเหล่านี้เป็นเพียงบาดแผลภายนอก ใช้เวลาไม่นาน เดี๋ยวก็หาย”
ก่อนหน้านี้ นางอาบน้ำ ทายาที่บาดแผลตามร่างกาย และเปลี่ยนใส่เสื้อผ้าที่สะอาดก่อนมาแล้ว
แต่กลับคิดไม่ถึงว่าอวี้ฉือซงจะตาดีเช่นนี้
จริงๆ แล้วภายในของนางไม่ได้รับบาดเจ็บเลย มีเพียงบาดแผลลึกภายนอกเท่านั้นที่ยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่
แม้จะตกสะเก็ดแล้วบ้าง แต่มันก็ยังดูน่าตกใจอยู่ดี
โชคดีที่นางเปลี่ยนใส่ชุดสีดำ ซึ่งสามารถปกปิดบาดแผลได้เกือบทั้งหมด
เพราะถ้าโดนจับได้จริงๆ นางเองก็ไม่รู้จะอธิบายให้ทุกคนฟังอย่างใด
อวี้ฉือซงไม่เชื่อในสิ่งที่นางพูด ในใจเขายังคงเป็นห่วงศิษย์ตัวน้อยอย่างมาก
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยอดหญิงลิขิตสวรรค์
สนุกมากค่ะ...
อ่านสนุกมากค่ะ ติดตามอ่านทุกตอน...