ในการแข่งขันปรมาจารย์ครั้งสุดท้ายนี้ ไม่มีใครคาดคิดว่าตัวแทนจากชงซูเก๋อจะเป็นฉู่หลิวเยว่
ทุกคนต่างพากันพูดคุยเมื่อเด็กสาวก้าวเท้าลงไปในสนาม
“พวกชงซูเก๋อคิดอะไรกันอยู่ เหตุใดจึงให้ฉู่หลิวเยว่ลงแข่งปรมาจารย์กัน? ถ้าอิงตามทักษะของนาง เลือกแข่งประเภทนักรบหรือไม่ก็เซียนหมอ น่าจะเหมาะกว่ามิใช่หรือ?”
“เหอะ! ไม่เห็นหรือวาชงซูเก๋อไม่มีคนแล้ว? พวกเขามีทางเลือกอื่นเสียที่ไหน”
“ว่าก็ว่าเถอะ พวกเจ้าเห็นหรือไม่? ฉู่หลิวเยว่ยังคงนิ่งเฉยไม่ทุกข์ร้อน…ไม่แน่ว่านางอาจมีแผนสำรองในใจก็เป็นได้?”
“เช่นนั้นแล้วอย่างใด? สำหรับคนที่มีทักษะทั้งสามด้าน โดยพื้นฐานแล้ว มันเป็นไปไม่ได้ที่คนคนนั้นจะมีความเชี่ยวชาญในทุกทักษะ นางมีพรสวรรค์ด้านนักรบอย่างมาก แต่กลับเลือกลงแข่งปรมาจารย์… เช่นนั้นฝีมือคงไม่เท่าใด ยิ่งไปกว่านั้น คู่ต่อสู้ของนางคือเหมิงจิง! อัจฉริยะด้านปรมาจารย์ที่มีชื่อเสียงของพันธมิตรเก้าดาราเชียว”
“เห็นว่าปีนี้เหมิงจิงเพิ่งอายุได้ยี่สิบห้าปี และเขาก็เป็นปรมาจารย์ขั้นที่หกแล้ว…แม้แต่ในซีหลิงทั้งหมด เขายังได้ชื่อว่าเป็นปรมาจารย์รุ่นเยาว์ที่เก่งกาจที่สุดด้วย! เกรงว่าคราวนี้ ฉู่หลิวเยว่น่าจะแพ้เสียกระมั้ง…”
ฉู่หลิวเยว่ไม่ได้สนใจเสียงพูดคุยเหล่านั้น นางเดินไปที่ยังสนามประลองและยืนนิ่งๆ
ตรงข้ามกัน ชายหนุ่มอายุน้อยคนหนึ่งเดินเข้ามา
อีกฝ่ายมีรูปร่างผอมแห้ง โหนกแก้มสูง ใบหน้าของเขาดูซีดเล็กน้อย เนื่องจากไม่ค่อยได้ออกมาเจอแสงแดด
ดูๆ แล้วราวกับพวกนักวิชาการที่ดูอ่อนแอ
ทว่าแสงวูบวาบในแววตาของเขานั้น บ่งบอกได้ว่าเขาไม่ได้อ่อนแอขนาดที่นางจะสามารถจัดการได้ง่ายๆ
เหมิงจิง…
ฉู่หลิวเยว่หรี่ตาลง
นางเคยมีความทรงจำเกี่ยวกับคนคนนี้
เขาเติบโตมาจากสภาพแวดล้อมที่น่าสังเวช เขาไม่มีทั้งพ่อและแม่ และในเวลาต่อมา เขาก็ถูกค้นพบว่ามีพรสวรรค์ที่น่าอัศจรรย์ในฐานะปรมาจารย์ ดังนั้นเขาจึงใช้ประโยชน์จากโอกาสนี้ เพื่อเข้าร่วมกับพันธมิตรเก้าดารา และกลายเป็นหนึ่งศิษย์ที่เก่งกายที่สุดในสำนักของตน
เขามีพรสวรรค์และที่สำคัญกว่านั้นคือ ความขยันหมั่นเพียร
ดูเหมือนว่าสองปีที่แล้ว เขาจะเป็นเพียงปรมาจารย์ขั้นที่ห้า แต่ตอนนี้เขาเลื่อนขึ้นสู่ขั้นที่หกแล้ว
มันคือความแข็งแกร่งที่ไม่สามารถสร้างขึ้นมาได้ภายในวันเดียว
เบื้องหน้าของพวกเขาทั้งสอง มีแผ่นศิลาสีดำทรงกลมอยู่แผ่นหนึ่ง
บนแผ่นศิลา มีลวดลายอักขระของถ่ายกลถูกวาดไว้ครึ่งแผ่นของแผ่นศิลา ส่วนอีกครึ่งนั้นสะอาดไร้รอยขีดเขียน
“บนแผ่นศิลาสีดำที่อยู่ตรงหน้าพวกเจ้านั้น มีรูปแบบค่ายกลอันลึกซึ้งที่มีระดับและพลังเท่ากัน แต่เนื้อหาต่างกัน! เมื่อใดที่พวกเจ้าก้าวเข้าไป ค่ายกลที่ซ่อนอยู่ทั้งสองอันจะเริ่มทำการโจมตีทันที!”
ผู้ตัดสินที่ยืนอยู่ข้างๆ พวกเขา ชำเลืองมองทั้งสองคน
“ไม่มีกำหนดเวลาสำหรับการแข่งขันประเภทปรมาจารย์ ใครก็ตามที่สามารถร่างแล้วแสดงรูปแบบค่ายกลได้อย่างสมบูรณ์ก่อน และลบล้างรูปแบบค่ายกลของอีกฝ่ายได้อย่างสมบูรณ์ ก็จะถือว่าสิ้นสุดการแข่งขัน และคนคนนั้นก็จะได้เป็นผู้ชนะ!”
ฉู่หลิวเยว่พยักหน้าให้เหมิงจิง
“เชิญ…”
เขาลืมตาที่ปิดอยู่ขึ้นเล็กน้อย พลางชำเลืองมองนางด้วยสายตาว่างเปล่า จากนั้นก็เบนสายตาไปมองผู้ตัดสินที่อยู่ข้างๆ เขา
“เริ่มแข่งเลย! ข้าไม่มีเวลามากขนาดนั้น”
ฉู่หลิวเยว่เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย
นี่เขาไม่คิดจะมองนางเลยหรือ…
“บังเอิญดี ข้าเองก็อยากจบการประลองนี่เร็วๆ เหมือนกัน”
ฉู่หลิวเยว่ไม่ถือสาอีกฝ่าย มุมปากของนางโค้งขึ้นเล็กน้อย พลางเดินไปข้างหน้า และนั่งขัดสมาธิตรงหน้าแผ่นศิลาสีดำ เป็นสัญญาณเริ่มต้นการประลอง
เนื่องจากฝ่ายนั้นเมินนางก่อน เช่นนั้นนางเองก็จะไม่สนใจอันใดอีกแล้ว
เหมิงจิงขมวดคิ้วไม่พอใจอยู่หน่อยๆ
แน่นอนว่าคนไร้หัวนอนปลายเท้าที่มาจากนอกเขตพรมแดนม่านฟ้า คงไม่รู้จักกฎกติกามารยาทเท่าใดนัก และต่อให้โต้เถียงกับคนอย่างนาง คงมีแต่เปลืองน้ำลายเปล่าๆ
อย่างใดเสีย อีกไม่นานการประลองก็คงจะจบแล้ว
หลังจากนั้น เขาก็เดินไปที่ศิลาสีดำ และหลุบตามองลงไป
ตอนนี้เขากำลังยืนอยู่
ฉู่หลิวเยว่ที่พอสัมผัสได้ถึงการจ้องมอง ก็พลันเงยหน้ามองเขา และรู้สึกขบขันอยู่ในใจ
เหมิงจิงผู้นี้ ดูท่าแล้วคงจะมั่นใจในตัวเองน่าดู
บางทีเขาคงคิดว่าค่ายกลนี้ง่ายเกินไป และสามารถแก้ไขได้อย่างราบรื่นโดยไม่ต้องมานั่งคิดให้เสียเวลา?
แต่ทว่า…ตอนที่นางชำเลืองดูเมื่อครู่ ดูเหมือนว่ารูปแบบของค่ายกลนี้จะไม่ง่ายอย่างที่คิด…
แน่นอนว่าเหมิงจิงอาจจะไม่ได้คิดเหมือนนาง
แต่สำหรับนางแล้ว…
เหมิงจิงลืมตาขึ้นและมองไปรอบๆ ราวกับสัมผัสได้ถึงสายตาของนาง พลันร่องรอยความรังเกียจ และเหยียดหยามก็ปรากฏขึ้นในดวงตาของเขา
ฉู่หลิวเยว่ยิ้มบาง เสมือนไม่สนใจ นางก้มหัวลงและเริ่มศึกษารูปแบบที่ลึกซึ่งของค่ายกลที่ไม่สมบูรณ์นี้
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยอดหญิงลิขิตสวรรค์
สนุกมากค่ะ...
อ่านสนุกมากค่ะ ติดตามอ่านทุกตอน...