ฉู่หลิวเยว่เดินตามฉานอี้ไปเข้าประตูด้านข้าง และมุ่งตรงไปยังตำหนักฮวาหยาง
ตอนนี้เป็นช่วงฤดูหนาว ทำให้อากาศหนาวเย็นและมีลมกรรโชกแรง สายลมเหล่านั้นพัดใส่ใบหน้าของผู้คนราวกับโดนมีดกรีดไปตามผิวหนัง
ทันใดนั้น ฉู่หลิวเยว่ก็รู้สึกเย็นวาบไปทั่วหว่างคิ้ว
นางเงยหน้าขึ้น
ก่อนจะเห็นเกล็ดหิมะสีขาวตกลงมา
หิมะกำลังตก
ทั้งสองคนเดินไปข้างหน้าจนสุดทาง และเมื่อเดินมาถึงห้องตำหนักฮวาหยาง ชั้นหิมะบางๆ ก็ตกลงมาบนแผ่นศิลาสีฟ้าที่ราบเรียบ
เมื่อเห็นฉานอี้กลับมา ข้าราชบริพารในวังก็คำนับนางทีละคน
สายตาหลายคู่ล้วนจับจ้องไปที่ฉู่หลิวเยว่
ก่อนหน้านี้พวกเขาได้ยินข่าวมาแล้วว่า ทางตำหนักขององค์หญิงสามได้เชิญฉู่หลิวเยว่เข้าเฝ้า
และคนผู้นี้…ก็คงจะเป็นฉู่หลิวเยว่ตัวจริง
เมื่อก่อนพวกเขาเคยได้ยินแต่ข่าวลือ ทว่าตอนนี้กลับได้เห็นตัวจริงแล้ว และรู้ว่าข่าวลือเหล่านั้นค่อนข้างเชื่อถือได้
อย่างน้อยรูปร่างหน้าตาที่มีเสน่ห์ และนิสัยอันโดดเด่นนี้ก็สมกับคำล่ำลือจริงๆ
ฉานอี้ก้าวเท้าไปด้านหน้า
“กราบทูลองค์หญิงสาม ฉู่หลิวเยว่มาถึงแล้วเพคะ”
จากนั้นก็มีน้ำเสียงนุ่มนวลดังออกมาจากด้านใน
“ไฉนยังไม่รีบเข้ามาอีกเล่า?”
ฉานอี้จึงหันไปเชิญฉู่หลิวเยว่
“เชิญคุณหนูฉู่ เจ้าคะ”
ฉู่หลิวเยว่พยักหน้าเล็กน้อยและตามนางเข้าไป
…
แต่ไหนแต่ไรตำหนักฮวาหยางนั้นเป็นที่พักผ่อนส่วนตัวของซั่งกวนหว่าน
ในบรรดาตำหนักต่างๆ ในพระราชวัง ตำหนักฮวาหยางนั้นไม่ได้โดดเด่นมากนัก
ไม่ว่าจะเป็นขนาดของมัน ตำแหน่งที่ตั้ง หรือการตกแต่ง ก็ล้วนอยู่ในระดับปานกลาง
มารดาของซั่งกวนหว่านนั้นมีฐานะต่ำต้อย ซั่งกวนหว่านเองก็ไม่สู้คน ทำให้สมัยเด็กนางถูกรังแกอยู่บ่อยครั้ง
ต่อมาฉู่หลิวเยว่ก็มองว่านางน่าสงสาร และรู้สึกเห็นใจ จึงมักจะไปขอให้บิดาของตนช่วยเสมอ
ตั้งแต่นั้นมา ซั่งกวนหว่านก็มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น และได้ย้ายไปอาศัยอยู่ที่ตำหนักฮวาหยาง
แม้ว่าตำหนักฮวาหยางจะไม่ได้โอ่อ่าเท่าตำหนักของฉู่หลิวเยว่ แต่มันก็เป็นการปรับปรุงที่ยอดเยี่ยมสำหรับซั่งกวนหว่านในเวลานั้น
เดิมทีฉู่หลิวเยว่คิดว่าหลังจากที่นางยึดอำนาจไปแล้ว นางจะย้ายไปอยู่ที่อื่น แต่กลับคิดไม่ถึงว่านางจะยังอยู่ที่เดิม
ทว่าทั่วทั้งตำหนักฮวาหยางก็ได้รับการปรับปรุงใหม่แล้ว
ดูจากทัศนียภาพและการตกแต่งโดยรอบแล้ว คงจะใช้เงินไปจำนวนไม่น้อยเชียว
และทันใดนั้นก็มีร่างของสตรีรูปงามนางหนึ่ง ก้าวออกมาจากหลังม่านกั้น
รูปลักษณ์ที่สวยงาม รอยยิ้มมุมปากพราวเสน่ห์ และบรรยากาศเย็นสบายรอบตัวเสมือนกลิ่นของฤดูใบไม้ผลิ อีกทั้งความสง่างามและความเย่อหยิ่งของราชนิกูลตรงระหว่างคิ้วของนาง
ซั่งกวนหว่าน!
ฉู่หลิวเยว่ชำเลืองมองนาง พลางคุกเข่าลงและทำความเคารพ
“ถวายบังคมองค์หญิงสาม”
ซั่งกวนหว่านก้าวไปข้างหน้าเพื่อให้กำลังใจนางเล็กน้อย และพูดด้วยรอยยิ้ม
“รีบลุกขึ้นเถิด วันนี้ข้าเป็นคนชวนเจ้ามาพูดคุยกัน ฉะนั้นเจ้าอย่าได้เป็นทางการนักเลย”
แต่ถึงจะพูดอย่างนั้น ทว่านางก็ยังยืดไหล่ยืนตัวตรง และอยู่ห่างจากฉู่หลิวตั้งสามก้าว ราวกับไม่ได้หมายความจะเป็นมิตรด้วยเลยสักนิด
ฉู่หลิวเยว่เคยเห็นกลอุบายเล็กๆ น้อยๆ แบบนี้มาหลายครั้งแล้ว นางจึงไม่ได้สนใจ หลังจากคุกเข่าและทำความเคารพแล้ว นางก็ลุกขึ้นและยิ้มให้ซั่งกวนหว่าน
“ขอบพระคุณองค์หญิงสามเพคะ”
ซั่งกวนหว่านตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง พลันหยุดชะงักไปชั่วขณะ
ครั้งล่าสุดที่พบกัน พวกนางยืนอยู่ห่างกันมาก จึงทำให้มองเห็นอีกฝ่ายได้ไม่ชัดเจนนัก
ทว่ายามที่ได้มองกันใกล้ๆ เช่นนี้ ส่งผลให้นางมองเห็นใบหน้านั้นได้ชัดเต็มสองตา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยอดหญิงลิขิตสวรรค์
สนุกมากค่ะ...
อ่านสนุกมากค่ะ ติดตามอ่านทุกตอน...