หลังจากครุ่นคิดนาน ฉู่หลิวเยว่ก็ยังไม่สามารถหาคำตอบได้ สุดท้ายจึงต้องหยุดคิดเรื่องนี้เอาไว้ก่อนชั่วคราว
จากนั้นก็เก็บใบโพธิ์สีทองม่วงอย่างระมัดระวังแล้ว นางก็เข้าสู่การบำเพ็ญเพียรอีกครั้ง
เวลาสองวันผ่านไปอย่างรวดเร็ว
เช้ารุ่งขึ้นวันที่สาม ฉู่หลิวเยว่เพิ่งโคจรพลังเสร็จ ก็ได้ยินเสียงเย่หรานหร่านดังขึ้นจากด้านนอก
“หลิวเยว่ ได้เวลาออกเดินทางแล้ว!”
ฉู่หลิวเยว่ลืมตาขึ้น แววตากระจ่างใส เหมือนมีประกายแสงพาดผ่านดวงตาของนาง
หลังจากที่นางทะลวงอวัยวะทั้งห้าได้แล้ว ความเร็วในการบำเพ็ญเพียรของนางก็เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว แม้กระทั่งพลังดั้งเดิมที่อยู่ในร่างกายก็ยังบริสุทธิ์กว่าเดิมมาก
นางกำหมัดกรอด เพื่อขยับกล้ามเนื้อและกระดูก จากนั้นนางก็ยังได้ยินเสียงกระดูกลั่นเบาๆ
ความรู้สึกพลังเต็มเปี่ยมที่หายไปนาน ทำให้ตอนนี้ฉู่หลิวเยว่รู้สึกสดชื่นอย่างมาก
นางเดินออกไปเปิดประตู
เย่หรานหร่านกับเชียงหว่านโจวกำลังรอนางอยู่แล้ว
“ไปกันเถิด!”
…
หลังจากพวกเขาลงจากเขามาแล้ว ก็รีบเดินทางไปที่จัตุรัสผิงเหลียง
พวกเขาต้องเริ่มเดินทางจากที่นั่นเพื่อไปแดนภังคะ
ซีหลิงเป็นเมืองที่คึกคักอยู่เสมอ แต่วันนี้บรรยากาศกลับดูเคร่งเครียดมากขึ้น บนถนนหนทางมีผู้คนเดินน้อยลง
จนกระทั่งพวกเขาไปถึงที่จัตุรัสผิงเหลียง ถึงได้รู้ว่าที่นี่มีคนน้อยกว่าอีก
เพราะว่าทหารม้าทมิฬได้ประกาศกฎอัยการศึกไว้ก่อนแล้ว
ดังนั้นค่ายกลเคลื่อนย้ายจำนวนมากจึงถูกปิดการใช้งานชั่วคราว มีเพียงค่ายกลตรงกลางเท่านั้นที่เปิดใช้งานอยู่
ด้านข้างค่ายกลเคลื่อนย้ายคือทหารม้าทมิฬจำนวนหนึ่งพันนายที่พร้อมออกเดินทาง
ด้านหน้าของกองทัพทหารม้าทมิฬ มีชายคนหนึ่งสวมชุดเกราะสีดำ แผ่นหลังเหยียดตรง ปราณกระหายเลือดแผ่กระจายออกจากมาทั่วทั้งร่างกายของเขา!
คนผู้นั้นคือมู่ชิงเห่อ!
แม้ว่าเขาจะเป็นนายพล แต่ส่วนใหญ่ที่เขาอยู่ในเมืองซีหลิง ดังนั้นแล้วเขามักจะสวมชุดลำลอง
แต่ตอนนี้เขาสวมชุดเกราะสีทะมึน รัศมีโหดเหี้ยมที่เคยอยู่ในสมรภูมิรบพร้อมฆ่าคนตายเรือนแสนคนก็ปะทุขึ้นมาอีกครั้ง!
จึงทำให้คนที่มองรู้สึกหวาดกลัวอย่างมาก!
เย่หรานหร่านพูดด้วยเสียงเบาว่า
“วันนี้รองแม่ทัพมู่ดูไม่ค่อยเหมือนเดิมเลยนะ…สมแล้วที่เป็นรองแม่ทัพทหารม้าทมิฬ!”
ภายในระยะเวลาสั้นๆ ประมาณสิบปี เขาสามารถไต่เต้าจนขึ้นมาสู่ตำแหน่งนี้ได้นั้น นับว่ามีฝีมือจริงๆ
ฉู่หลิวเยว่หันไปมองทางนั้น จากนั้นก็เบนสายตากลับมา สายตาของนางดูสงบราบเรียบอย่างมาก
ตอนนี้มู่ชิงเห่อเป็นอย่างใดล้วนไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับนางทั้งนั้น
เย่หรานหร่านเหลือบสายตามองหน้านางเล็กน้อย แต่เมื่อเห็นท่าทีที่สงบนิ่งของนางจึงรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย
“หลิวเยว่ เจ้ากับรองแม่ทัพมู่มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันไม่ใช่หรือ? พวกเราควรเข้าไปทักทายเขาหรือไม่?”
ฉู่หลิวเยว่ส่งยิ้มเล็กน้อย
“อีกเดี๋ยวองค์หญิงสามก็จะมาแล้ว ในเวลาเช่นนี้คงไม่ค่อยเหมาะสมละมั้ง?”
เย่หรานหร่านเห็นด้วย
แล้วด้านหลังของเขายังมีทหารกว่าอีกพันนาย!
“เช่นนั้นพวกเราไปรอที่ด้านข้างดีหรือไม่? ข้าเห็นว่าสำนักอื่นก็มาถึงกันแล้ว!”
ฉู่หลิวเยว่พยักหน้า
ทั้งสามคนจึงเดินไปด้านข้าง
มู่ชิงเห่อลืมตาขึ้นมาเล็กน้อย บังเอิญเห็นว่าฉู่หลิวเยว่และพวกไม่กี่คนกำลังเดินเข้ามาพอดี
คนรอบข้างจำนวนไม่น้อยล้วนมองไปที่นาง
สงสัย เลื่อมใส ชื่นชม ริษยา อิจฉา…
ทุกสายตาจับจ้องอยู่ที่ตัวของนาง
เมื่อเทียบกับครั้งสุดท้ายที่ได้เจอกัน เหมือนว่าฉู่หลิวเยว่จะมีการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย
เหมือนว่า…จะน่าดึงดูดมากกว่าครั้งที่แล้ว
เป็นความรู้สึกที่ยากจะอธิบาย
สรุปง่ายๆ ว่า นางเหมือนหินหยาบๆ ที่ค่อยๆ ผ่านการเจียระไน และค่อยๆ ส่องประกายแสงจากตนเอง
หรือบางทีนางอาจจะเป็นไข่มุกที่เปื้อนฝุ่นเม็ดหนึ่ง ในที่สุดตอนนี้ก็สามารถขจัดฝุ่นเหล่านั้นออกได้แล้ว พร้อมเปล่งประกายความงดงามออกมา
ช่างต่างจากหญิงสาวท่าทางขัดเขินและรอบคอบที่เขาพบที่เมืองเย่าเฉินเมื่อหลายเดือนก่อนมาก มันแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยอดหญิงลิขิตสวรรค์
สนุกมากค่ะ...
อ่านสนุกมากค่ะ ติดตามอ่านทุกตอน...