เมื่อก่อนมันเคยเป็นช่องทางที่มีไว้สำหรับเดินทางเข้าออกแดนภังคะ
แต่นั่นเป็นสิ่งที่หลงเหลือมาจากสมัยขององค์ไท่จู่
ซึ่งหลังจากมันอยู่ท้าสายลมและแสงแดดเป็นเวลาหลายพันปี บวกกับการก่อวินาศกรรมโดยตั้งใจ หรือไม่ตั้งใจของผู้คนจำนวนมากหลายต่อหลายครั้ง สุดท้ายค่ายกลเคลื่อนย้ายนี้ก็ถูกปิดตาย
กระทั่งปัจจุบัน มันก็ได้ถูกจัดตั้งขึ้นเป็นพิเศษเพื่ออำนวยความสะดวกในการเข้าออกแดนภังคะ สำหรับกองทัพทหารม้าทมิฬจำนวนมาก
แต่ก็มีเพียงไม่กี่คนที่รู้เรื่องนี้
…
ซั่งกวนหว่านมองค่ายกลเคลื่อนย้ายตรงหน้าด้วยแววตาเป็นประกาย
“ดูๆ แล้วเหมือนค่ายกลนี่จะเพิ่งถูกสร้างขึ้นได้ไม่นานเลยนะ? หรือว่ารองแม่ทัพมู่เป็นคนสร้างมันขึ้นมาอย่างนั้นหรือ?”
สีหน้าของมู่ชิงเห่อชะงักไปพักหนึ่ง
ทว่าไม่นานก็กลับมาเป็นปกติ
“นี่คือสิ่งที่องค์หญิงใหญ่สร้างขึ้น”
เสียงทุ้มเอ่ยอย่างใจเย็น
รอยยิ้มบนหน้าของซั่งกวนหว่านพลันหายไปทันตา
“…เป็นสิ่งที่พี่สาวคนโตทิ้งไว้เองหรือ…ข้าไม่รู้มาก่อนเลย”
ดวงตาของเจียงอวี่เฉิงกระตุกเล็กน้อย พลางมองไปยังค่ายกลเคลื่อนย้ายนั่นอีกครั้ง
เดิมทีฉู่หลิวเยว่นึกว่ามู่ชิงเห่อจะอธิบายเพิ่มอีกสองสามคำ เช่น ค่ายกลเคลื่อนย้ายนี่ถูกสร้างขึ้นเมื่อใด
แต่มู่ชิงเห่อกลับเงียบไม่ได้ขยายความต่อ
เขาทำเพียงเอ่ยว่า
“ค่ายกลเคลื่อนย้ายนี้มีขนาดใหญ่และได้รับการดูแลอย่างดี พวกเราทุกคนสามารถเข้าไปด้านในของแดนภังคะได้พร้อมกัน”
ซั่งกวนหว่านยิ้มเหยพลางพยักหน้า และไม่ได้ถามอันใดต่อมากนัก
ส่วนฉู่หลิวเยว่กำลังเล่นกับแหวนเฉียนคุนในมือของนางอย่างเบื่อหน่าย
“จิ๊”
ก็แค่ค่ายกลเคลื่อนย้ายอันเดียวมิใช่หรือ มีอันใดที่ต้องรู้สึกผิดด้วยหรือไร
ดูเหมือนว่าคนอื่นๆ จะไม่ได้สังเกตเห็นคลื่นใต้น้ำที่กำลังปั่นป่วนนี้
ตอนนี้หลายคนกำลังขบคิดกันอย่างขะมักเขม้น และคิดแต่เรื่องที่จะเข้าไปในแดนภังคะเท่านั้น
ภายใต้การชี้นำของมู่ชิงเห่อ ทุกคนก็พากันเดินไปอยู่บนยังค่ายกลเคลื่อนย้าย เพื่อเดินทางไปยังแดนภังคะ!
…
“ค่ายกลเคลื่อนย้ายนี้ดูเสถียรมาก…มันไม่มีผันผวนใดๆ เลย…พูดแล้วมันก็คล้ายกับค่ายกลเคลื่อนย้ายที่เราใช้มาที่นี่เมื่อครู่เลยนะ!”
“อันนั้นเป็นขององค์ไท่จู่ที่สร้างไว้ตอนท่านมาที่นี่ และได้รับการบำรุงรักษาอย่างอุตสาหะมานับพันปี ดังนั้นมันจึงใช้งานได้ง่ายโดยไม่ขัดข้อง แต่อันนี้…ไหนว่าเป็นของที่องค์หญิงใหญ่สร้างไว้มิใช่หรือ?”
“องค์หญิงใหญ่เกิดมาพร้อมกับชีพจรเทียนจิง ความสามารถของนางนั้นที่ไม่มีใครเทียบได้ อีกทั้งยังมีความแข็งแกร่งที่ไม่ธรรมดา กับอีแค่สร้างค่ายกลเคลื่อนย้ายนี่ ถือเป็นเรื่องจิ๊บจ๊อยไปหน่า?”
“น่าเสียดายที่หลังจากนั้น… เมื่อก่อนคนในซีหลิงมักลือกันว่าองค์หญิงใหญ่น่ะ เป็นผู้สืบเชื้อสายขององค์ไท่จู่เลย และก็คาดว่า จะเป็นคนที่สามารถทะลวงขอบเขตพลังปราณของจอมยุทธระดับเก้าได้ด้วย…น่าเสียดายจริงๆ เชียว!”
เกิดเสียงซุบซิบนินทาจากทั่วสารทิศ
ฉู่หลิวเยว่ยืนฟังเงียบๆ และมองไปยังซั่งกวนหว่านที่ยืนตัวแข็งทื่อทำหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกอยู่ข้างหน้า
ถึงนางจะตายไปแล้ว และถูกซั่งกวนหว่านเข้ามายึดรังนกของนางไป แต่มันก็ยังมีบางสิ่งที่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงหรือทดแทนกันได้อยู่
อย่างเช่น… ความจริงที่ว่า ซั่งกวนหว่านจะไม่มีวันได้ครอบครองชีพจรเทียนจิงอย่างใดล่ะ!
แค่เรื่องนี้เรื่องเดียว ก็สามารถทำให้ซั่งกวนหว่านเจ็บช้ำน้ำใจไปตลอดชีวิตแล้ว
ตั้งแต่นางก้าวขึ้นมาอยู่บนตำแหน่งนี้ นางก็ถูกคนเอาไปเปรียบกับซั่งกวนเยว่ไม่หยุดหย่อนเลยมิใช่หรือ?
ส่วนเทียบได้หรือไม่ได้นั้น แค่มองก็น่าจะรู้แล้ว
ฉู่หลิวเยว่รู้สึกได้ทันทีว่าการเดินทางครั้งนี้ช่างคุ้มค่านัก
แม้ว่าจะยังไม่สามารถแสดงตัวได้ แต่คนเหล่านี้ก็ได้ถูกกวาดล้างจนหมดสิ้นแล้ว
แต่ถ้ายิ่งได้เห็นสีหน้าจะเป็นจะตายพูดไม่ออกของคนพวกนั้นบ้าง คงไม่เลวเลย!
มู่ชิงเห่อคนให้สมญานามแก่แดนภังคะแห่งนี้ก็จริง แต่…ความจริงแล้วมันเป็นสถานที่ของนางต่างหาก!
“หลิวเยว่ นั่นเจ้าหัวเราะด้วยเหตุใด?”
มู่หงอวี่ที่อยู่ข้างๆ ถามอย่างแปลกใจ
ฉู่หลิวเยว่กดยิ้มลึกขึ้น พลันทำทีกะพริบตาปริบๆ
“ไม่มีอันใด ข้าแค่คิดว่าเราใกล้ถึงแดนภังคะแล้ว ไหนจะสมบัติมากมายอีก แค่คิดก็ตื่นเต้นแล้ว”
มู่หงอวี่คลายความสงสัย พลันยิ้มตอบ
“ข้าเองก็เหมือนกัน!”
เย่หรานหร่านชูมือขึ้น
“ข้าด้วย!”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยอดหญิงลิขิตสวรรค์
สนุกมากค่ะ...
อ่านสนุกมากค่ะ ติดตามอ่านทุกตอน...