ประโยคๆ เดียวก็เกือบทำให้ซ่งหลวนสำลักขาดอากาศหายใจตาย!
ดวงหน้าของเขาจากขาวเป็นเขียว จากเขียวเป็นแดง สีหน้าเปลี่ยนไปมาน่าดูชมยิ่ง!
เขาพลันหยัดกายลุกขึ้น เอ่ยเสียงกราดเกรี้ยว
“เจ้าพูดว่าอันใดนะ!?”
เดิมทีเขาก็อารมณ์เสียมากพออยู่แล้ว ยิ่งได้ยินประโยคนี้เข้าไปอีก ใครที่ไหนจะไปคุมอารมณ์อยู่?
ทันใดนั้นราวกับถูกจุดไฟโหมก็ไม่ปาน…ความโกรธของเขาปะทุแล้ว!
ทว่าอวี้ฉือซงกลับมีสีหน้าไม่แยแส
“ข้าพูดว่าอันใด ทุกคนในที่นี้ย่อมได้ยินกันชัดเจนดี เหตุใดจึงมีเพียงเจ้าที่ได้ยินไม่ชัด หรือเป็นเพราะหูเจ้าใช้การไม่ได้แล้ว?”
“เจ้า…”
“ดูเหมือนหูของเจ้าจะไม่ต่างอันใดกับปาก ล้วนเป็นแค่ของประดับประดาที่มีไว้เสียเปล่า”
อวี้ฉือซงเอ่ยปากพูดไม่กี่คำ ก็ทำเอาซ่งหลวนถูกด่าเสียจนไม่มีชิ้นดี
ทุกคนต่างพากันมองอย่างตกตะลึง
อวี้ฉือซงเป็นบุคคลผู้มีคุณธรรมและบารมีสูงส่งมาตลอด คำพูดคำจาและการวางตัวมักนุ่มนวลอยู่เสมอ
ทว่าหลังจากที่สำนักชงซูเก๋อต้องประสบกับการโจมตีอย่างต่อเนื่องเมื่อหนึ่งปีก่อน คงไม่จำเป็นต้องพูดแล้ว
สำนักชงซูเก๋อทั้งหมดกลายเป็นไร้ตัวตนไปเสียอย่างนั้น
และเพราะเหตุนี้ คนทั้งหลายก็ค่อยๆ มองข้าม ไม่เห็นสำนักชงซูเก๋ออยู่ในสายตาอีก
ความจริงแล้วพวกเขาคิดว่า การตายของพวกฉู่หลิวเยว่ทั้งสามคน สามารถกลายเป็นแรงปะทะอย่างใหญ่หลวงแก่อวี้ฉือซงและคนอื่นๆ มากถึงขนาดที่ว่ามีคนตั้งข้อสงสัยว่าเขาย่อมไม่มีทางมาที่วังด้วยซ้ำ
แต่คิดไม่ถึงว่า เขาไม่เพียงแต่จะมาเฉยๆ อีกทั้งยังทรงพลังมากอีกด้วย!
ทั่วทั้งเมืองซีหลิงจะมีสักกี่คนที่กล้าเอ่ยวาจาเช่นนี้กับซ่งหลวน?
คนจำนวนไม่น้อยต่างมองหน้ากันไปมา ล้วนแต่มองเห็นร่องรอยความตื่นตะลึงในนัยน์ตาของอีกฝ่าย
…นี่…คงมิใช่ว่าได้รับความสะเทือนใจมากไปหรอกใช่หรือไม่?
อวี้ฉือซงนั่งลงบนที่นั่งของตน ปล่อยให้สายตานับไม่ถ้วนมองสำรวจมาที่ตนครั้งแล้วครั้งเล่าโดยมิขยับเขยื้อนสักนิดดุจดั่งภูเขา
ลูกศิษย์ของเขาทั้งคน เขาจะไม่รู้ได้หรือว่าเป็นหรือตาย?
เจ้าเด็กสามคนนั้นเพียงแค่ไม่ได้ตามคณะเดินทางของซั่งกวนหว่านกลับมาพร้อมกัน แต่ในใจเขาชัดแจ้งว่าเด็กเหล่านั้นล้วนยังอยู่ดี
แต่ในตอนนี้เขาก็ยังตัดสินใจที่จะไม่เปิดเผยเรื่องนี้ต่อฝูงชน
ระหว่างทางที่มา เขารู้ว่าย่อมต้องมีคนนำเรื่องนี้ขึ้นมาพูดเพื่อสร้างปัญหาแก่สำนักชงซูเก๋อ
ถ้าให้พูดอีกอย่างก็คือ เขาแสร้งทำเป็นหลับหูหลับตาเสียก็จบแล้ว ป่วยการไปต่อล้อต่อเถียงด้วย
แต่กับซ่งหลวนที่จงใจพูดถึงเด็กสามคนนั้น ไม่พอยังเอ่ยสาปแช่งให้เจ้าเด็กพวกนั้นตายตกกันไปให้หมดอีก
เช่นนั้นแล้วเขาจะอดทนอยู่ได้หรือ?
หลังถูกกล่าวออกมาเช่นนั้นต่อหน้าผู้คน ซ่งหลวนจึงได้แต่ยืนทึ่มทื่ออยู่แบบนั้น
ในความคิดเขา อวี้ฉือซงไม่เคยทำตัวเสียมารยาทเช่นนี้กับใครมาก่อน
เขาหัวเราะโต้ตอบด้วยความโกรธ เย้ยหยันอย่างเย็นชาว่า
“เฮอะ เจ้าสำนักเก๋อ ทุกคนล้วนแล้วแต่เป็นสี่สำนักใหญ่ด้วยกันทั้งนั้น ส่วนตัวข้าเพียงแค่แสดงความห่วงใยออกมา ท่านพูดเช่นนี้ ข้าว่าคงไม่เหมาะกับฐานะของท่านสักเท่าไรกระมัง?”
อวี้ฉือซงปรายตามองแวบหนึ่ง ทำประหนึ่งว่ากำลังดูคนโง่เล่นละครก็มิปาน
“ได้ยินมาว่าครั้งนี้สำนักกระบี่เมฆาม่วงเสียลูกศิษย์ที่โดดเด่นไปเจ็ดคน คาดไม่ถึงว่าเจ้าสำนักซ่งแท้จริงแล้วยังคงไร้ซึ่งความกังวลใจ มาเป็นห่วงเป็นใยสำนักชงซูเก๋อของเรา?”
ซ่งหลวนพลันสะอึกอยู่ในใจ พูดอันใดไม่ออก
พวกเขาเสียลูกศิษย์ไปเจ็ดคนจริงๆ อีกทั้งคนที่เหลืออยู่ก็มีเพียงสามคน นอกจากลูกชายของตน ซ่งชิงเหนียนที่สภาพยังถือว่าพอดูได้แล้ว ที่เหลืออีกสองคนล้วนบาดเจ็บสาหัส ถึงขั้นมีความเป็นไปได้อย่างมากที่จะส่งผลต่อการฝึกตนในภายหลัง
จวนจะพูดได้ว่ากองทัพทั้งหมดพังทลายย่อยยับ!
ต้องรู้ก่อนว่า ครั้งนี้คนที่เขาส่งไปแดนภังคะครั้งนี้ ล้วนเป็นลูกศิษย์ที่ฝีมือโดดเด่นของสำนักกระบี่เมฆาม่วงทั้งสิ้น
เมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเขาจวนจะต้องใช้เวลาอีกสองสามปี จึงจะสามารถฟื้นฟูความเสียหายที่ได้รับครั้งนี้ได้!
ในตอนนั้นเอง เจี่ยนชูเย่ที่อยู่ด้านข้างพลันเอ่ยปาก
“อันที่จริง ข้าได้ยินมาว่าตอนอยู่ที่ป่าหมอกมายา เด็กสาวฉู่หลิวเยว่ผู้นั้นช่วยคนไว้ได้ไม่น้อย ไม่เพียงแค่ลูกศิษย์ของสำนักภูเขาเขี้ยวมังกร ลูกศิษย์จากสำนักอื่นจำนวนไม่มากก็น้อยล้วนได้รับการช่วยเหลือจากนางกระมัง?”
เขาพูดพลางมองไปยังซ่งหลวน เอ่ยถามอย่างจงใจ
“”ซ่งหลวน ดูเหมือนลูกชายสุดที่รักคนนั้นของเจ้าเองก็ถูกพวกนางช่วยเอาไว้นี่?”
ซ่งหลวนพลันโต้ตอบ “ไม่มีทาง! ไม่เคยมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้น!”
เจี่ยนชูเย่มีร่องรอยความประหลาดใจบนใบหน้า เขามองไปทางกลุ่มคนที่นั่งอยู่ข้างๆ กัน
“โอ้? เช่นนั้นไม่ทราบว่าผู้ที่นั่งอยู่มีใครเคยได้ยินเรื่องนี้บ้าง?”
ทั่วทั้งโถงใหญ่ตกอยู่ในความเงียบจนผิดวิสัย
สีหน้าของผู้คนต่างก็แตกต่างกันไป
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยอดหญิงลิขิตสวรรค์
สนุกมากค่ะ...
อ่านสนุกมากค่ะ ติดตามอ่านทุกตอน...