เมื่อได้ยินเสียงนี้ ในที่สุดใบหน้าเรียบนิ่งเสมือนถูกแช่แข็งของซั่งกวนหว่าน ก็มีการตอบสนองขึ้นมาเล็กน้อย
มาแล้วสินะ…
“องค์หญิงเจ้าคะ วันนี้ราชบุตรเขยหล่อเหลายิ่งนักเจ้าคะ!”
สาวใช้ที่อยู่ด้านนอกรีบรายงานนางด้วยความยินดี
ทว่าหลังจากพูดจบ ทั่งทั้งห้องโถงใหญ่กลับตกอยู่ในความเงียบอีกครา
ซั่งกวนหว่านกล่าวเสียงเบา
“ข้าทราบแล้ว เจ้าไปเถอะ”
สาวใช้ผู้นั้นตะลึง
นี่มัน… เกิดอันใดขึ้น?
ทั้งๆ ที่ทราบข่าวแล้ว แต่เหตุใดองค์หญิงสามถึงดูไม่มีความสุขเลยเล่า?
ในฐานะสตรีคนหนึ่ง เมื่อได้ยินว่าเจ้าบ่าวกำลังเดินขบวนมาสู่ขอตน ย่อมรู้สึกเขินอายและมีความสุขมากมิใช่หรือ??
แต่แล้ว เพราะเหตุใดองค์หญิงสามถึง… ทำหน้าตาเฉยเมยราวไม่สนใจเพียงนั้น?
เดิมทีสาวใช้ต้องการประจบประแจงด้วยคำพูดเยินยอสวยหรูเพื่อหวังรางวัล แต่เมื่อพบกับสถานการณ์เช่นนี้ นางก็ถึงตกตะลึงไปชั่วขณะ และไม่รู้จักเดินหน้าต่อหรือถอยหลังดี
“มัวยืนนิ่งอยู่ไย? ไสหัวไปทำงานของเจ้าเสีย! หากมีอันใดขาดตกบกพร่องไปแม้แต่นิดเดียว ข้าจะเรียกเจ้ามาเค้นความเสียให้เข็ด!”
ฉานอี้ซึ่งรออยู่ที่ประตูตวาดเสียงตำหนิอย่างเย็นชา
สาวใช้สะดุ้งโหยงและรีบตอบรับอย่างเชื่อฟัง
“จะ เจ้าค่ะ!”
หลังจากพูดจบ นางก็ถอยกลับไปด้วยความอับอาย
และแม้จะเดินออกไปข้างนอกแล้ว นางก็ยังคงงงงวยไม่หาย
น่าแปลกยิ่งนัก องค์หญิงสามและราชบุตรเขยนั้นดูรักใคร่กันดีมาตลอด ฉะนั้นการที่นางแสดงท่าทีเช่นนี้ในวันอภิเษกสมรสจึงดูไม่ค่อยสมเหตุสมผลเท่าไร…
หรือเป็นเพราะนางยกย่องราชบุตรเขยหรือเปล่า องค์หญิงสามถึงไม่พอใจ?
ซึ่งมันก็อาจจะเป็นไปได้
และพอคิดได้เช่นนี้ สาวใช้ก็ได้แต่แอบด่าความปากพล่อยของตนในใจ!
ภายในตำหนัก ซั่งกวนหว่านมองดูเงาของตัวเองที่สะท้อนอยู่ในกระจกทองสัมฤทธิ์
รอยแผลเป็นถูกปกปิดไว้หมดแล้ว การแต่งหน้าที่ละเอียดอ่อนทำให้นางดูสวยหวานกว่าปกติ
อย่างใดเสีย ซั่งกวนหว่านเองก็เป็นถึงสาวงามอันดับหนึ่งของเมืองซีหลิง
และเครื่องแต่งกายของนางในวันนี้ ก็ช่วยขลับให้นางงดงามมากขึ้นกว่าเดิมเป็นเท่าตัว
ทว่าดวงตาที่มีร่องรอยของความขุ่นเคืองคู่นั้น กลับทำลายความงามบนใบหน้าทั้งหมดของนาง และทำให้ใบหน้าของนางดูดุดันแทน
เมื่อแม่นมคนหนึ่งที่ยืนอยู่ข้างๆ เห็นภาพนี้ ก็พลันยิ้มแย้มออกมาเบาๆ แล้วเริ่มประจบสอพลอ
“เรียวขนงและดวงเนตรขององค์หญิงสามช่างงดงามเหลือเกินเจ้าคะ ดุจนางฟ้านางสวรรค์ในแดนสุราลัย! ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา กระหม่อมได้ถวายตัวรับใช้ราชวงศ์มากมาย แต่ท่านคือองค์หญิงที่งดงามที่สุด ที่กระหม่อมเคยพานพบมาเลยเจ้าค่ะ!”
แม่นมอีกคนรีบเข้ามาช่วยเสริมทัพอย่างรวดเร็ว
“ใช่แล้วเจ้าค่ะ! หากราชบุตรเขยได้ยลโฉม จักตกตะลึงในความงามของท่านแน่นอนเจ้าค่ะ!”
ซั่งกวนหว่านแอบเย้ยหยันในใจ พลางแตะปิ่นปักผมรูปหงส์บนศีรษะของตนช้าๆ และถามเบาๆ ว่า
“โอ้? เช่นนั้น… ข้ากับพี่สาวคนโต ใครงดงามกว่ากันหรือ?”
แน่นอนว่าพี่สาวเพียงคนเดียวของซั่งกวนหว่านก็คือ…อดีตองค์หญิงใหญ่อย่าง ซั่งกวนเยว่!
ทันทีที่ประโยคนี้หลุดออกมาจากปากของนาง แม่นมทั้งสองพลันก็สะดุ้งสุดตัว และรู้สึกละอายใจอย่างยิ่ง
ซั่งกวนหว่านเป็นคนสวย แต่ถ้าให้เทียบกับคนผู้นั้นล่ะก็ ยังหากชั้นกันมากโข
อย่าว่าแต่เรื่องหน้าตาเลย แม้กระทั่งเรื่องนิสัยใจคอ ก็ยังต่างกันโดยสิ้นเชิง
ความงามของซั่งกวนหว่านนั้น คือความงามที่หาได้ทั่วไปบนโลกนี้ แต่ความงามขององค์หญิงใหญ่นั้น เปรียบเสมือนดวงอาทิตย์ที่ลอยอยู่ในหมู่เมฆ ซึ่งเป็นความงามที่คนมองทำได้เพียงชื่นชมเท่านั้น และถึงอยากจะมองให้นานกว่านี้ แต่มันกลับทำให้คนมองรู้สึกว่า ตัวเองกำลังมิให้เกียรติความงามนั่นมากกว่า
และนี่คือการเปรียบเทียบของพวกนาง
แม่นมคนหนึ่งตอบกลับอย่างรวดเร็วและยิ้ม
“วันนี้เป็นวันอภิเษกสมรสขององค์หญิง แน่นอนว่าท่านย่อมงดงามที่สุดเจ้าค่ะ!”
ซั่งกวนหว่านไม่พูดอันใด เพียงแต่ใช้สายตาของตนเหน็บแนมอีกฝ่ายแทน
ไม่ต้องบอกก็รู้ว่ารูปร่างหน้าตาของนางไม่ดีเท่าซั่งกวนเยว่
ในภาพวาดผืนนั้น ซั่งกวนเยว่มีอายุเพียงสิบสี่ปี แต่นางกลับงดงามยิ่งกว่าสตรีใดในโลกา
ไม่แปลกใจที่เจียงอวี่เฉิงจะยึดติดกับนางมาเป็นสิบๆ ปี
ขณะเดียวกัน จู่ๆ ก็มีเสียงพิธีกรรมและดนตรีดังขึ้นจากด้านนอก!
เป็นอันทราบกันดีกว่าเกี้ยวรับตัวเจ้าสาวได้มาถึงแล้ว!
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยอดหญิงลิขิตสวรรค์
สนุกมากค่ะ...
อ่านสนุกมากค่ะ ติดตามอ่านทุกตอน...