บทที่ 109 เธอพูดอะไรมาฉันก็จะฟังเธอหมดทุกอย่าง
แม่นรมนคิดจะไปรับโทรศัพท์อย่างไม่รู้ตัวกลับถูกนรมนห้ามไว้
“คุณน้า ให้ฉันรับเถอะ”
สายตาของนรมนค่อนข้างจริงจัง
ทันใดนั้นแม่นรมนก็รู้สึกว่าสายตานี้ค่อนข้างคุ้นเคย คุ้นเคยจนทำให้ทั้งตัวสั่น ความคิดที่กล้าหาญส่องประกายอยู่ในสมอง
แต่ว่าเธอไม่ได้ส่งเสียงอะไร เพียงแค่ค่อยๆดึงมือกลับมา
สำหรับการกระทำของแม่นรมน นรมนไม่ได้สังเกตอะไรมาก ความคิดทั้งหมดของเธอไปอยู่กับโทรศัพท์ข้างหน้า
โทรศัพท์นี้จะเป็นใครที่โทรมา?
จะใช่คนที่หลอกพ่อแม่ให้ไปต่างประเทศโทรมาไหมนะ?
นรมนรับโทรศัพท์มาฟังอย่างจริงจัง
“จากไหนคะ?”
น้ำเสียงที่เย็นชาไม่มีความอบอุ่นของนรมน อีกฝั่งชะงักไปสักพัก จากนั้นก็รีบวางสายไปทันที
เสียงโทรศัพท์ดังตู๊ดๆๆขึ้น ใจของนรมนจมลึกลงไป
หากบอกว่าโทรผิดหรือเป็นคนสนิทโทรมา ไม่มีทางที่วางไปโดยไม่พูดอะไรแบบนี้ นอกจากอีกฝั่งไม่อยากให้ตัวเองได้ยินเสียงของเขาหรืออาจเป็นเพราะเหตุผลอื่น แต่ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไร นรมนต่างรู้สึกต้องระวังตัว
“ทำไม? ใครโทรมา?”
แม่นรมนสังเกตนรมนอยู่ตลอด ทันใดนั้นก็ค้นพบว่าเธอกับลูกสาวของตัวเองมีหลายอย่างที่คล้ายกัน
นรมนพูดอย่างเป็นกังวลอยู่บ้าง “คุณน้า ฉันคิดว่ามีคนอยากใช้เรื่องของนรมนมาควบคุมพวกคุณ ถึงแม้ฉันจะไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจะทำอะไร แต่หากว่าคุณเชื่อฉัน ไม่ว่าจะได้รับจดหมายแบบไหนมาหรือโทรศัพท์ ได้โปรดช่วยบอกฉัน ฉันไม่อยากให้นรมนต้องกังวลกับพวกคุณ”
หากว่าเป็นก่อนหน้านี้แม่นรมนอาจจะไม่ฟัง แต่ว่าตอนนี้ยิ่งมองนรมนก็ยิ่งรู้สึกสนิทสนม เธอจับมือของนรมนอย่างสั่นๆ “เธอพูดอะไรมาฉันจะฟังเธอหมดทุกอย่าง ตัวเธอเองก็ต้องระวังตัวหน่อย เข้าใจไหม?”
นรมนรู้สึกตื่นเต้นไปทั้งตัว แต่ก็ต้องกดมันเอาไว้ ทำเพียงพยักหน้า
แม่นรมนพูดกับเธอ “ในเมื่อเธอเป็นเพื่อนสนิทของนรมนก็ไปพักผ่อนที่ห้องของนรมนเถอะ ฉันมองออกว่าเธอดูเหนื่อยล้า อีกสักพักอาหารเสร็จแล้วฉันจะไปเรียกเธอ”
ที่จริงนรมนก็รู้สึกเหนื่อยอยู่บ้าง แต่เธอก็ไม่อยากที่จะปล่อยเวลานี้เพื่อไปพักผ่อน ท่าทางของแม่นรมนที่ยืนกรานอย่างมาก เธอไม่กลับไปที่ห้องของตัวเองไม่ได้
ที่นี่ยังเหมือนตอนที่ไม่ได้แต่งงานและทำความสะอาดอย่างสะอาด ฝุ่นสักนิดก็ไม่มี มองออกถึงความคิดถึงของพ่อแม่ที่มีต่อเธอ
ไม่มีแม่นรมนข้างกาย นรมนก็ไม่สามารถทนกลั้นน้ำตาไหวได้อีก
เธอลูบไปยังรูปภาพบนชั้นที่หัวเตียง นั่นเป็นรูปที่เธอถ่ายตอนที่ยังอยู่ที่บ้าน ดูอ่อนเยาว์แบบนั้น สดใสแบบนั้น ตอนนี้กลับเป็นแค่คนแปลกหน้า
เวลาห้าปี การทำศัลยกรรมเกือบทำให้เธอลืมว่าเดิมที่เธอหน้าตาเป็นแบบไหน วันนี้ได้เห็นรูปภาพนี้ ภาพความทรงจำก็กลับเข้ามาในสมอง พ่อแม่ที่เคยดูแล เทียบกับพ่อแม่ในตอนนี้ที่แก่ลง นรมนนั่งอยู่ข้างเตียงสะอื้นไม่มีเสียง
ไหล่ของเธอสั่น
เดิมที่แม่นรมนไม่ได้ปิดประตูสนิท หลังจากที่ไม่ได้ยินเสียงด้านในห้อง เธอก็ค่อยๆเปิดประตูออกเล็กน้อย ก็เห็นนรมนถือรูปภาพและกำลังร้องไห้แบบนั้น
นรมนวางรูปภาพลงเหมือนนึกบางอย่างขึ้นได้ ทันใดนั้นก็ลุกขึ้นก้มลงไปที่ใต้เตียงและหยิบกล่องออกมากล่องหนึ่ง
เธอหยิบออกมาอย่างระมัดระวัง
เพราะว่าไม่มีใครรู้ว่ามีกล่องนี้อยู่ ดังนั้นด้านบนจึงมีฝุ่นเกาะชั้นหนึ่ง
นรมนค่อยเช็ดฝุ่นออกเบาๆ จากนั่นก็เปิดออก
ในนั้นเต็มไปด้วยของขวัญวันเกิดในทุกๆปีที่พ่อแม่ให้เธอมาตั้งแต่เด็ก กล่องที่เต็มไปด้วยเครื่องประดับมากมาย
และยังมีภาพเหมือนครอบครัวทั้งสามคน
นรมนปิดปากร้องไห้อีกครั้ง
ร่างกายของแม่นรมนสั่นขึ้นมา อดไม่ได้ที่อยากเดินเข้าไปถาม แต่ว่าในที่สุดเธอก็ทนเอาไว้
เธอปิดประตูเสียงเบา เดินไปข้างๆพ่อนรมน
มองดูสายตาภรรยาที่เต็มไปด้วยน้ำตาแบบนั้น พ่อนรมนก็เข้าใจว่าเธอกับนรมนพูดถึงลูกสาว อดไม่ได้ที่จะพูดปลอบ“ไม่ใช้ว่าได้ข่าวคราวของนรมนหรือไง? พวกเราไม่ช้าเร็วก็ได้เจอเธอ เธอก็อย่ากังวลไปเลย ดีกว่าไม่รู้อะไรเลย ตอนนี้แค่รู้ว่าเธอยังมีชีวิตอยู่ สำหรับพวกเราก็ถือเป็นข่าวที่ดีมากแล้วไม่ใช่หรือไง?”
แม่นรมนปิดประตูห้องสมุดและจับไปที่มือของพ่อนรมน “ที่รัก ฉันสงสัยว่าแคทเธอรีคนนี้ก็คือนรมนลูกสาวของพวกเรา”
“เธอพูดอะไรนะ? ไม่ใช่ว่าคิดถึงลูกจนเป็นบ้าไปแล้ว? ถึงแม้แคทเธอรีจะสวย แต่ก็สู้นรมนของพวกเราไม่ได้”
พ่อนรมนยังคงเข้าใจว่าสติของแม่นรมนกระเจิงอยู่
แม่นรมนกลับส่ายหัว “ไม่ใช่ เมื่อกี้ฉันพาเธอไปที่ห้องนอนของนรมน ให้เธอไปพักผ่อนในนั้น แต่ว่าฉันไม่ได้ปิดประตูเปิดแง้มไว้ ฉันเห็นว่าเธอคุ้นเคยกับห้องนอนของนรมนอย่างมาก แม้แต่ของที่นรมนซ่อนเอาไว้เธอก็หาเจอ อีกอย่างตั้งแต่เธอเข้าไปในห้องนอนก็ร้องไห้ ร้องไห้อยู่ตลอด นายบอกมาเธอพูดว่าไฟไหม้ห้าปีก่อนผ่านไป ใบหน้าถูกทำร้ายและยังบอกกับพวกเราว่าถ้าเธอมาเจอพวกเราอีกครั้งหน้าตาอาจจะไม่เหมือนแต่ก่อนที่พวกเราเคยรู้จัก ฉันมองดูดีๆแล้วหว่างคิ้วของเธอคล้ายนรมนอย่างมาก โดยเฉพาะดวงตาคู่นั้น ยังจำได้ไหม? ดวงตาของนรมนคล้ายนาย!”
พ่อนรมนถูกภรรยาพูดแบบนั้น ทั้งตัวก็แข็งทื่อไป
“แต่ว่าหาเป็นนรมนจริง ทำไมเธอไม่บอกพวกเรา? ยังมีบุริศร์อีก ทำไมเขาถึงช่วยเธอปิดบังพวกเราล่ะ?”
“ระหว่างพวกเขาอาจมีเรื่องลำบาก เรื่องนี้ฉันมองออกท่าทางของบุริศร์ที่มีต่อเธอนั่นไม่เลว แต่เธอกลับดูเย็นชาต่อบุริศร์ ในนั้นมีเรื่องอะไร พวกเราก็ยังไม่รู้ ในเมื่อลูกไม่อยากบอก พวกเราก็อย่าถาม แค่เพียงเธอกลับมาก็ดีแล้ว”
แม่นรมนพูดไปก็เช็ดน้ำตาไปด้วย
พ่อนรมนครุ่นคิดเล็กน้อยและพูด “ฉันไปที่ห้องครัวบอกให้ทำอาหารที่นรมนชอบมาสักสองสามอย่างและทำของที่ไม่ชอบมา ถึงตอนนั้นเธออย่าพูดอะไร พวกเราค่อยๆสังเกตว่าจริงๆแล้วเรื่องนี้จะเป็นเรื่องเล็กเรื่องใหญ่”
ตอนนี้เห็นเธอหยิบอาหารนี้ขึ้นมาเป็นสิ่งแรก ทั้งสองคนก็มองหน้ากันไม่พูดอะไร แต่ในแววตามีความตื่นเต้น
“ลองกินอันนี้ อันนี้ใช้มะม่วงทำ รสชาติดีมาก”
แม่นรมนหยิบมะม่วงผัดเนื้อมาวางด้านหน้านรมน
อาหารจานนี้คนที่ทำได้มีไม่มาก นี่ก็แปดปีแล้วกลิ่นนั้นยังคงหอมดึงดูดนรมน
เธอเหมือนเด็กที่กินไปพูดไป “คุณน้าทำอาหารอร่อยจริง ร้านอาหารห้าดาวยังสู้ไม่ได้”
เมื่อพูดประโยคนั้นจบ นรมนกับแม่นรมน ต่างก็ชะงักไป
จำได้ถึงตอนเด็กนรมนนั่นหลอดลมไม่ดี ชอบไออยู่บ่อยๆ มีคนบอกว่าใช้มะม่วงผัดเนื้อสามารถรักษาอาการไอได้ แม่นรมนถึงได้เรียนทำอาหารจานนี้
ครั้งแรกที่ทำเสร็จ นรมนพูดก็คือประโยคนี้
ตอนนี้ได้ยินนรมนพูดแบบนั้นอีกครั้ง แม่นรมนเกือบที่จะยืนขึ้นด้วยความตื่นเต้น โชคดีที่พ่อนรมนไอออกมาครั้งหนึ่ง
นรมนเองก็รู้สึกว่าประโยคนี้ค่อนข้างไม่คาดคิด เธอกำลังคิดที่จะอธิบาย ก็ได้ยินแม่นรมน พูด “แคทเธอรีช่างเป็นเพื่อนสนิทของนรมนจริงๆ นรมนของพวกเรา ครั้งแรกที่กินอาหารจานนี้ก็พูดแบบนั้น”
“ใช่หรอ?”
นรมนรีบก้มหัวลง ไม่กล้าพูดอีก
ในตอนนี้สายต่างของทั้งสองมองกันอีกรอบ แม่นรมนก็หยิบหมูสามชั้นผัดซอสมาให้ด้านหน้านรมน
“ลองกินหมูสามชั้นผัดซอสดู เป็นอาหารที่แม่บ้านหลิวของพวกเราทำอร่อยที่สุด”
นรมนขมวดคิ้วเล็กน้อย ตะเกียบก็หยุดไปเล็กน้อย แต่ว่าก็ยังยิ้มและหยิบชิ้นหนึ่งเข้าปาก
สายตาของพ่อนรมน เริ่มชื่นเล็กน้อยและเริ่มเปิดบทสนทนากับนรมน
“หลายชายของฉันคนนั้นอายุเท่าไรแล้ว? สูงเท่าไร? คล้ายใครมากกว่ากัน? มีรูปของเขาไหม?”
มองดูสายตารอคอยของพ่อ นรมนรีบหยิบโทรศัพท์ออกมา หารูปกานต์จากอัลบั้มส่งให้ไป
“เด็กคนนี้อายุสี่ขวบแล้ว คล้ายบุริศร์มากกว่า แต่ว่าจมูกเล็กปากน้อยๆคล้ายคุณ”
นรมนพูดอย่างมีความสุข
ตอนพ่อนรมนมองเห็นโทรศัพท์ก็รับมาอย่างไม่รู้ตัวและจงใจรับไม่มั่นคง รูปภาพในอัลบั้มก็ย้อนกลับไป
เมื่อเห็นชื่อในอัลบั้ม ดวงตาทั้งสองก็แดงแล้ว
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: แค้นรักสามีตัวร้าย
650 ตอนยังไม่จบเลยค่ะ...
หล่อนบอกพฤกษ์ได้ย่ะนังนรมน โง่ซ้ำซาก...
อ้าว ขอตุลยาให้ช่วย แล้วทีงี้ทำไมไม่กลัวคนแอบมองจะรู้ว่าขอให้คนอื่นช่วย ไม่สงสัยเลยเว้ยว่าอาจจะมีกล้องซ่อนอยู่เพื่อแอบดูตัวเอง แทนที่จะขอมือถือใหม่มาใช้ สรุป ตอนนี้ไม่มีโทรศัพท์ โทรขอความช่วยเหลือไม่ได้...
โอ๊ย มีปัญญาบอกพฤกษ์ให้ไปบอกสามีได้ แต่ไม่ยอมบอกเค้าว่ามีคนส่งข้อความมาและคนๆนั้นน่าจะอยู่ในสถานพักฟื้นนี่แหล่ะ แล้วจะยังไง ตัวเองจะปกป้องลูกๆและแม่สามีได้ไง แต่งเรื่องได้ไม่เมคเซ้นส์เลย แต่เราว่าดูแล้วเหมือนไปก๊อปเรื่องอื่นมาแล้วเปลี่ยนชื่อคนเอา แล้วไอ้เรื่องที่เอามามันคงใช้บอทแปลมาอีกที เพราะนอกจากภาษาแหม่ง ๆ ยังใช้สรรพนามมั่ว เดี๋ยวเธอเดี๋ยวเขา เดี๋ยวเรียกลูกว่าคุณเดี๋ยวเรียกหนู เดี๋ยวเรียกยายเดี่ยวเรียกย่า ฯลฯ ถ้าคนเขียนหรือแปล มันไม่น่าจะผิดตรงจุดนี้...
นี่กอีกจุดที่ไม่สมจริง นรมนควรจะรีบบอกบุริษร์ตั้งแต่ต้น ไม่ใช่โอ้เอ้ ทำนั่นทำนี่ตั้งนาน เพราะก็ต้องเข้าใจสิว่าพ่อก็ทุกข์ใจเรื่องลูกหาย...
รู้ว่ามันฆ่าสามีและวางยาลูกคนเล็ก แต่ก็ทำเฉย เก็บมันไว้ใกล้ชิดกับลูกอีกคน ปล่อยให้มันสร้างฐานอำนาจมากขึ้นๆ แถมไม่แอบบอกลูกด้วยว่าต้องระวังอีนี่ อ่านแล้วงงตรรกะ...
น่าแบ่งคนเป็นสองกลุ่มตั้งแต่ต้น ตัวเองกับไมค์พาคนบุกบ้าน ค้นหาตัวนรมน อีกกลุ่มให้คนสนิทไมค์ซึ่งเป็นเจ้าถิ่นพาไปรับตัวแม่กับลูกออกจากรพ. ไม่งั้นอย่างเลวสุดคือเอาลูกและแม่ออกจากรพ. ได้แล้ว ให้ไมค์พาไปค้นบ้าน ช่วยนรมนออกมาด้วย ลองคิดตามความเป็นจริง พอรเมศรู้ว่าพาคนออกจากรพ.แล้ว มันก็ต้องเอะใจแล้วว่าต้องรีบเปลี่ยนที่ซ่อนนรมน รเมศมันก็ไม่น่าโง่นิ เป็นถึงเจ้าพ่อแถบนั้นได้...
แล้วแทนที่จะบอกลูกน้องว่ารเมศไว้ใจไม่ได้ ขังนรมนไว้และจะวางยากมล ก็ไม่บอกอีก แถมไม่เรียกตำรวจ ไม่ขอกำลังเสริม ทั้งๆที่รู้ว่าเลขากำลังจะโทรสั่งคนที่รพ. คือ ไม่คิดเหรอว่าอาจจะหนีออกจากรพ.ไม่ทัน...
กรูจะบ้า แอบเข้ามาคนเดียวอีกแล้ว ไหนว่ารวยมากมีอำนาจมาก ทำไมอนาถาจัง...
ป้าโอก็ใบ้ไว้ชัดมากนะ พระเอกฉลาดก็น่าจะสงสัยว่านางเป็นแม่แท้ ๆ หรือเปล่า พอฟังแม่พูดแล้ว อาจจะว่านางโอวางยาแม่บุริศร์ พอคลอดเด็กผู้หญิงมาก็แอบเปลี่ยนกับแฝดของตัวเอง เพราะงี้ถึงได้รักพระเอกกับน้องมากๆ แต่ก็งงว่าทำไมวางยากิจจา และทำร้ายกานต์ นั่นหลานแท้ๆนี่หว่า...