หมูตุ๋นกับหัวปลานึ่งพริกสับดองเป็นเมนูที่ลู่ม่านทำอยู่ที่บ้านบ่อยๆ ส่วนใหญ่แล้วไม่มีอะไรผิดพลาด
ลู่ม่านทำทุกอย่างตามอารมณ์ นอกจากตอนจัดตกแต่งจาน นางจะพุ่งสมาธิให้เยอะเป็นพิเศษ
พ่อครัวอู่ที่อยู่ถัดจากลู่ม่านก็ทำเสร็จเร็วมาก และอาหารของเขาก็เรียบง่ายยิ่งกว่า มีหนึ่งจะเป็นเต้าหู้ขาว และอีกจานเป็นผัดกะหล่ำปลีที่ชาวบ้านกินกัน
เหอเย่วกระซิบพูด “เหตุใดพ่อครัวคนนี้ถึงทำเมนูที่ง่ายเช่นนี้ สบายใจได้เลยนายหญิง ข้าคิดว่าท่านจะต้องชนะอย่างแน่นอน”
ลู่ม่านไม่ได้มองโลกในแง่ดีอย่างเหอเย่ว เด็กคนนี้ไม่เข้าใจอะไรซะแล้ว บางครั้งอาหารยิ่งเรียบง่าย รสชาติก็ยิ่งจับใจคนได้ง่าย
แต่ในเวลานี้ ไม่มีประโยชน์ที่จะอธิบายให้นางฟัง ดังนั้นลู่ม่านจึงก้มหน้าทำอาหารต่ออีกครั้ง
ตอนที่เทซีอิ๊วเป็นครั้งที่สอง ลู่ม่านก็ตระหนักได้ว่าซีอิ๊วดูเหมือนจะผิดปกติ เธอก้มลงไปดม “เสี่ยวเย่ว เช้านี้เจ้าเป็นคนถือซีอิ๊วหรือไม่”
“อา... เจ้าค่ะ!” เหอเย่วพยักหน้า “มีอะไรผิดปกติหรือเจ้าคะ?”
“กลิ่มมันผิดปกติ!” ลู่ม่านมองอยู่สักพัก ในที่สุดก็ได้ข้อสรุปว่า
“นี่มัน…” สีหน้าของเหอเย่วซีดเผือดทันที พอเห็นจานสองจานที่กำลังจะออกมาจากหม้อ นางร้อนใจจนใกล้จะร้องไห้แล้ว “ทำอย่างไรดี ใกล้จะหมดเวลาแล้วด้วย”
“อ๊ะ ข้าจำได้แล้ว!” เหอเย่วพูดขึ้นมากะทันหัน “หลังจากเข้ามาแล้ว วัตถุดิบทั้งหมดจะถูกนำไปวางไว้ในห้องโถงด้านใน และส่งคืนให้เราทีหลัง ต้องเป็นตอนนั้นแน่ๆ ที่มีคนเปลี่ยนของเรา!”
ในเวลานี้ มันก็สายเกินไปที่จะสงสัยว่าขอถูกสับเปลี่ยนไปตั้งแต่เมื่อไหร่ ลู่ม่านหันไปมองที่เหอเย่วทันที “ข้าบอกให้เจ้าเตรียมสำรองมาด้วย เจ้าเอามาด้วยไหม”
“เอามาเจ้าค่ะ!” เหอเย่วรีบหยิบขวดซีอิ๊วขนาดเล็กจากแขนเสื้อของนางออกมา แล้วยื่นให้ลู่ม่าน “โชคดีที่ข้าเอามาด้วย”
ลู่ม่านหยิบมันขึ้นมาและมองไปรอบๆ โต๊ะ วัตถุดิบทั้งหมดถูกใช้ไปหมดแล้ว ตอนนี้พวกนางไม่เหลืออะไรเลย!
“จะทำอย่าวไรดี มีแต่ซีอิ๊วไม่มีวัตถุดิบ!”
ลู่ม่านไม่หยุดมือ นางเทอาหารในหม้อทิ้ง “ไปหาผู้ดูแลร้านช่าย บอกว่าเราต้องการเปลี่ยนวัตถุดิบ”
เหอเย่วรีบพยักหน้า และเดินออกไป
ผู้ดูแลร้านช่ายและคนอื่นๆ กำลังคุยกันอยู่ พอพวกเขาเห็นผู้ช่วยวิ่งเข้ามา ผู้ดูแลร้านช่ายก็หน้าซีด “เจ้าออกมาทำไม ทำเสร็จแล้วหรือ”
“ผู้ดูแลร้านช่าย!” เหอเย่วหอบหายใจ “ซีอิ๊วของเราถูกคนแอบสับเปลี่ยน นายหญิงบอกให้ข้ามาขอวัตถุดิบเหลือหรือไม่ เราต้องการเปลี่ยน...”
หลี่หรงได้ยินก็หัวเราะออกมาทันที “สาวน้อย เจ้ามาที่นี่เพื่อเข้าร่วมการแข่งขันอย่างนั้นหรือ ต้องการเปลี่ยนวัตถุดิบในเวลานี้ดูเหมือนจะไม่ดีนะ?”
ใต้เท้าต้าซือหนง(*เสนาบดีคลังและเกษตรธรรม)จำได้ว่าเหอเย่วเป็นสาวใช้ของบ้านเฉิน เขาหัวเราะออกมา “อาหารยังไม่ได้เสิร์ฟ จะเปลี่ยนก็ได้ แต่ต้องทำให้เสร็จตามเวลาที่กำหนดไว้”
“ใต้เท้า ท่านคิดว่าอย่างไร” หลี่หรงมองไปทางซวนเหวินลี่
ซวนเหวินลี่ได้ยินคำถาม จึงเหลือบมองไปทางลู่ม่าน เห็นนางกำลังเทอาหารในหม้อทั้งสองทิ้ง บนโต๊ะตรงหน้านางไม่มีอะไรเหลืออยู่แล้ว
เขายกยิ้มเบา ๆ “วัตถุดิบที่เตรียมในการแข่งขันครั้งนี้ถูกจัดเตรียมและตรวจสอบทั้งหมดแล้ว ถ้ามีการเปลี่ยนแปลงในเวลานี้ จะไม่ยุติธรรมต่อผู้แข่งขันอื่นหรือเปล่า”
หัวใจของผู้ดูแลร้านช่ายหมดหวัง ในใจของเขาเอาแต่คิดว่าจบแล้ว จบแล้วจริงๆ
แต่เขายังคงพูดกับเหอเย่วอย่างสงบว่า “ในครัวไม่มีวัตถุดิบแล้ว แต่ถ้าในสนามแข่งมีวัตถุดิบเหลือ พวกเจ้าสามารถหาวิธีแก้ไขได้!”
ดวงตาของเหอเยว่เป็นประกาย หมายความว่ายังมีความหวังอยู่ใช่ไหม?
หลังจากที่เธอกลับไป เธอบอกกับลู่ม่านเกี่ยวกับสถานการณ์ในตอนนี้ สีหน้าของลู่ม่านเคร่งเครียดขึ้นมากะทันหัน “เจ้าคิดว่าใครจะเต็มใจให้วัตถุดิบเราในเวลานี้?”
ในเวลานี้ เหอเย่วถึงตระหนักว่าได้ทุกคนมาที่นี่เพื่อแข่งขัน ถ้ามีคู่ต่อสู้ลดไปอีกหนึ่ง พวกเขาก็จะมีโอกาสเพิ่มขึ้น ใครจะโง่ถึงขนาดนั้น
ก่อนจะมีเสียงซ่าดังออกมา นางคนอาหารในจานอย่างรวดเร็วสองครั้ง สุดท้าย ลู่ม่านก็หยุดมือแล้ววางตะเกียบในมือลง
พอเวลาหมดลง ลู่ม่านก็สูดหายใจเข้าลึก ๆ
อีกด้านหนึ่ง กรรมการหนุ่มเห็นกะหล่ำปลีสภาพโทรมๆ บนจานของลู่ม่าน ซึ่งดูไม่เหมือนอาหารที่นำมาแข่งขันเลย ก่อนจะยกยิ้มดูถูก
ลู่ม่านไม่สนใจเขา และส่งกะหล่ำปลีให้คนงานนำมาเสิร์ฟ
คนงานมาจากภัตตาคารเฟิ่งหลาย พอเขาเห็นกะหล่ำปลีจานนี้ เขาก็มองที่ลู่ม่านอย่างกังวล “แม่นางลู่ นี่มัน...”
“ไม่เป็นไร ยกขึ้นไปเถอะ!” ลู่ม่านกล่าว
คนงานร้านจึงจานมันไป
จานของลู่ม่านและอาหารสองจานของพ่อครัวอู๋ ที่ถูกเสิร์ฟขึ้นไปพร้อมกัน หลี่หรงยกย่องจานของพ่อครัวอู๋เป็นครั้งแรก ตอนที่เห็นมัน “เมื่อกี้นี้ ข้ากินเนื้อปลากับเนื้อชิ้นใหญ่เข้าไปเยอะ ตอนนี้เริ่มเลี่ยนแล้ว ข้าอยากลองชิมเต้าหู้กับผักกะหล่ำปลีนี้ดู!”
หลี่หรงยกยิ้ม “นี่อาจเป็นเต้าหู้และกะหล่ำปลีที่ดีที่สุดที่ข้าเคยกินมาในชีวิตเลยก็ได้”
ผู้ดูแลร้านช่ายหยิบตะเกียบของเขาขึ้นมา และกินด้วยท่าทางฝืนทนเหมือนกะหล่ำปลีกับเต้าหู้ก็ไม่น่าจะเป็นเต้าหู้ที่ทำจากถั่วเหลือง แต่กะหล่ำปลีนั้นได้ผ่านการแช่ในน้ำซุปคุณภาพดีมาแล้ว จึงมีกลิ่นหอมโชยออกมา และอร่อยตั้งแต่กัดกินครั้งแรก และเต้าหู้นั้นไม่ได้ทำมาจากถั่วเหลืองธรรมดา แต่ทำมาจากนม
ดังนั้นไม่เพียงแต่นุ่ม แต่ยังมีกลิ่นนมอ่อนๆ ด้วย เข้าปากก็มีรสหวานและนุ่ม
ถึงแม้ผู้ดูแลร้านช่ายจะไม่อยากยอมแพ้ ก็ยังพยักหน้าด้วยความชื่นชม
หลังจากกินทั้งหมดแล้ว ซวนเหวินลี่ก็ก้มหน้าก้มตากินส่วนที่เหลือ หลังจากนั้นเขาก็พูดอย่างไม่เห็นแก่ตัวมากกว่า “อร่อยมาก”
“ใต้เท้า มาลองชิมจานนี้ดู… กะหล่ำปลีตุ๋น?” หลี่หรงยิัมเยาะ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ชีวิตบ้านนาของแม่นางลู่ม่าน
เป็นพอ.ที่กลับกรอก เป็นที่พึ่งไม่ได้เลย ยอกจะออกจากครอบครัวเลวๆนี่ไม่จริงอีก ภาระของนางเอก ถ่วงแข้งถ่วงขาจริงๆ...
เด็กไม่ตายเพราะแม่คลอดยากจะตายเพราะคนรับใช้ป้อนโจ๊กข้าวจนอิ่มตื้อ รอดได้คือดวงแข็งเว่อ...
อ่านไป งงไป ตัดสินประหาร หรืออภัยโทษ?...
หม่อมข้า? ใช้ MS Word ไม่ระวังเลย...
ตั้งแต่ต้นจนถึงตอน 337 แล้ว โดยภาพรวมพระเอกไม่ค่อยมีเสน่ห์ ไม่เฉียบแหลมเลย...
อะไรจะมีปมขนาดนั้น วุ่นวายตอกย้ำเหลือเกินเกี่ยวกับระบบศักดินา ทั้งที่มันเป็นคนละยุคสมัยกัน...
ตอน285-287 หายทำไงดี...
ตอนหายค่ะ 284แล้วกระโดดไป288เลยค่ะ...
บท 285-287 หายค่ะ 284แล้ว288เลย รบกวนด้วยค่ะ...
281-311 รบกวนด้วยค่ะ...