ทุกคนต่างมีความคิดเป็นของตัวเอง เสียงพูดคุยไม่เป็นเอกฉันท์ ทว่าในกลุ่มคนยังมีหญิงชราผู้หนึ่ง ดวงตาสามเหลี่ยมกลอกกลิ้งไปมา ไม่รู้ว่ากำลังครุ่นคิดสิ่งใด!
ซูหว่านกลับมาที่ลานบ้านของตน บนหน้าผากมีเหงื่อผุดซึมออกมาเล็กน้อยแล้ว นางดูตะวันไม่เป็น ทำได้เพียงคาดคะเนเวลาตามสัญชาตญาณ ทางทิศตะวันตกของบ้านเป็นห้องนอนของพวกพี่ชาย ซูหว่านเปิดประตูเข้าไป ผ้าห่มบนเตียงถูกพับไว้อย่างเรียบร้อย ซูหว่านนำเสื้อผ้าสกปรกของพวกเขาออกมาแช่น้ำไว้ในอ่างไม้
นางแยกแยะเสื้อผ้าที่สะอาดและสกปรกจากกลิ่นเหงื่อ พี่ชายห้าคนรวมกันมีเสื้อผ้าเต็มกะละมัง ในยุคนี้ไม่มีสบู่ซักผ้า บ้านคนรวยมีจ้าวเจี่ยว* ชาวบ้านทั่วไปใช้ขี้เถ้า ซึ่งทำได้แค่ดับกลิ่นเหงื่อเท่านั้น จากนั้นจึงทุบตีด้วยท่อนไม้ ก็ถือว่าซักสะอาดแล้ว แค่ไม่มีกลิ่นเหงื่อ ก็เพียงพอแล้ว (**จ้าวเจี่ยว (皂角) เป็นฝักผลจากต้น 皂荚(จ้าวเจีย) เป็นพืชดอกสมุนไพรของจีนที่ถูกนำมาใช้ทำเป็นสบู่ นำผลฝักมาบดและทำให้เกิดฟองมากเมื่อผสมในน้ำ)
'ถ้ามีสบู่คงดีไม่น้อย' นางรำพึงในใจ การทำสบู่ก็ง่ายมาก แค่น้ำมันหมูกับขี้เถ้าก็ใช้ได้แล้ว แค่มีสองอย่างนี้ก็ทำปฏิกิริยาเปลี่ยนเป็นสบู่แล้ว
เมื่อมีเวลาว่าง ซูหว่านเดินสำรวจรอบบ้านอย่างละเอียด พบว่าครอบครัวนี้ช่างขัดสนยิ่งนัก นอกจากเครื่องเรือนที่จำเป็นแล้ว ก็ไม่มีสิ่งของดูดีเลยสักชิ้น การจัดวางภายในก็แสนจะธรรมดา ผนังยังมีรอยแตกร้าวเป็นรู แสงอาทิตย์ส่องเข้ามาทาบทาพื้นเป็นวงกลมหลายจุด แถมเครื่องเรือนในบ้านก็เก่าคร่ำครึ ผุพังหมดแล้ว
นางใช้ไม้กวาดที่สานจากไม้ไผ่กวาดลานบ้านจนสะอาดหมดจด จากนั้นก็กวาดพื้นในบ้านทั่วทุกซอกทุกมุม จากนั้นจึงครุ่นคิดว่าจะทำอะไรให้พี่ชายกินเป็นมื้อกลางวันดี
ด้วยสภาพของครอบครัว ข้าวสารคงไม่เพียงพอแน่ๆ นางจึงลงไปในห้องใต้ดินและพบฟักทองสองสามลูก ซูหว่านตัดสินใจจะทำข้าวอบฟักทองเป็นอาหารกลางวัน ฟักทองมีรสหวานและช่วยให้อิ่มนาน
ในห้องใต้ดินยังมีมันเทศและหัวมันอีกอย่างละสองสามกระสอบ ไว้ค่อยทำแป้งทอดหัวมันในภายหลัง นางจำได้ว่าตอนที่กลับมา ริมคันนามีผักเบี้ยขึ้นอยู่มากมาย ประเดี๋ยวนางจะไปเก็บส่วนหนึ่งมาทำยำเย็นๆ
พูดแล้วทำเลย ซูหว่านถือตะกร้าเล็กๆ ออกไปเก็บผักเบี้ยมาเต็มตะกร้า คัดแล้วล้างจนสะอาด หั่นฟักทองเป็นชิ้นเล็ก ซอยหัวมันเป็นเส้น งานเตรียมการก็เสร็จสิ้น
แม่น้ำอยู่ไม่ไกลจากบ้าน นางซักเสื้อผ้าที่แม่น้ำให้สะอาด แล้วกลับมาตากไว้ที่ลานบ้าน จากนั้นก็รุดไปเอาน้ำหญ้าหวานที่บ่อน้ำ
ผู้คนบริเวณบ่อเริ่มน้อยลงแล้ว คาดว่าคงกลับไปเตรียมอาหารกันหมดแล้ว เหลือเพียงชายชราสองสามคนนั่งสนทนากันอยู่
เมื่อได้น้ำมาแล้ว นางก็รีบเร่งฝีเท้า แต่นางไม่รู้ว่าพี่ๆ ทำงานอยู่ที่ไหน ต้องอาศัยไถ่ถามคนอื่นเอา ทางด้านตะวันออกของหมู่บ้านคือทุ่งนาสีทองอร่าม ผู้คนต่างขะมักเขม้นทำงานในผืนนาของตน
ซูหว่านถามทางไปตลอดทางจนถึงที่หมาย ผู้คนต่างงุนงงเมื่อเห็นสาวงามแปลกหน้า บ้างก็ถามว่านางเป็นใคร นางตอบกลับอย่างไม่อ้อมค้อมว่าตนคือบุตรสาวตระกูลซู
ยามนี้ พี่น้องทั้งห้าคนกำลังทำงานหนักอยู่ในทุ่งนาจนเหงื่อไหลท่วม ซูอวิ๋นเหนื่อยอ่อน นั่งลงบนพื้นดิน พลางบ่นพึมพำ
“ลืมเสียสนิทเลยว่าเย่ว์เย่ว์ไม่อยู่แล้ว ไม่มีใครเอาน้ำมาให้ที่ทุ่งนา หิวน้ำจะแย่อยู่แล้ว!”
ปกติเมื่อพวกเขาทำงานในทุ่งนา กู้เย่ว์จะเป็นคนเอาน้ำมาให้ ตอนนี้กู้เย่ว์ไม่อยู่แล้ว พวกเขาต่างก็คิดว่าซูหว่านคงไม่ใส่ใจเรื่องนี้
“บ่ายนี้อย่าลืมเตือนข้าด้วย ข้าจะเอาน้ำมาให้!” ซูจิ่งพูดขณะเกี่ยวข้าว เขาไม่ใช่บัณฑิตอ่อนแอที่รู้จักแค่หนังสือเท่านั้น เขาเติบโตมาในชนบทและยังมีพละกำลังอยู่บ้าง
“ข้ากลับไปเอาน้ำมาให้!” ซูอี้วางเคียวในมือลง ส่วนหนึ่งก็เพราะเขาเองก็กระหายน้ำด้วยเช่นกัน
“พี่ใหญ่!” เสียงเรียกของเด็กสาวดังมาจากระยะไกล ซูจิ่งได้ยินเสียงนี้ก็เงยหน้าขึ้นมอง น้องชายอีกสี่คนก็มองตาม
แสงแดดจ้า พวกเขาจึงมองไม่ถนัดนัก จนกระทั่งซูหว่านเข้ามาใกล้
“พี่ใหญ่ พี่รอง พี่สาม พี่สี่ พี่ห้า ข้าเอาน้ำมาให้แล้ว!”
ซูหว่านวิ่งมาจนเหงื่อชุ่ม นางอุ้มไหน้ำพลางหายใจหอบ เส้นผมปรกหน้าผากเปียกชื้นแนบติดอยู่บนใบหน้า
“หวานหว่าน รู้ได้ยังไงว่าพวกเราอยู่ที่นี่?” ซูจิ่งวางเคียวลง แล้วเดินไปรับไหน้ำจากนาง
“พี่ใหญ่ ใช่ว่าข้าไม่มีปากเสียหน่อย ถามคนอื่นเอาก็รู้แล้ว อากาศร้อนขนาดนี้ พวกพี่คงหิวน้ำกันแล้ว ข้าเอาน้ำมาให้!”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ชีวิตพลิกผัน ข้ากลายเป็นคุณหนูตัวปลอม