เมื่อคืนตอนกลับมา นางเดินมาตามเส้นทางเล็กๆ ทางขวา ซูหว่านความจำดี ยังจำทางที่กลับมาเมื่อคืนได้
บ้านของตระกูลซูอยู่ท้ายสุดของหมู่บ้าน สร้างอยู่ที่เชิงเขา รอบบ้านไม่มีเพื่อนบ้าน หน้าบ้านเป็นแปลงผักขนาดใหญ่ เดิมเคยเป็นที่รกร้าง ต่อมาชาวบ้านได้บุกเบิกที่ดินเพื่อปลูกผัก นางไม่รู้ว่าแปลงไหนเป็นของบ้านนาง
บนแปลงผักมีคันดินขนาดใหญ่ เมื่อเดินลัดเลาะข้ามไปอีกด้าน บ้านเรือนก็เริ่มหนาแน่นขึ้นและปลูกติดชิดกัน เกือบทั้งหมดเป็นลานบ้านเหมือนของตระกูลซู ต่างกันที่ขนาด บางหลังใหญ่ บางหลังเล็ก มีบ้านก่ออิฐมุงกระเบื้องอยู่เพียงไม่กี่หลัง
เวลานี้ผู้คนส่วนใหญ่ลงไปทำงานในไร่นากันหมดแล้ว ในหมู่บ้านจึงมีเพียงเด็กเล็กกลุ่มหนึ่งที่วิ่งไล่จับเล่นกันอย่างสนุกสนาน เด็กที่อายุเกินแปดขวบขึ้นไปก็ต้องไปช่วยงานแล้ว เสียงที่ได้ยินบ่อยที่สุดคือเสียงไก่ขันและเสียงสุนัขเห่า บนต้นไป๋หยางริมทางมีเสียงจั๊กจั่นเรไรร้องระงมอยู่เป็นระยะๆ ไกลออกไปคือทิวเขาสีเขียวทอดยาวต่อเนื่องกันไป บ้างสูงบ้างต่ำ เขียวชอุ่มชุ่มชื่น
นี่คือทัศนียภาพชนบทที่แท้จริง อากาศบริสุทธิ์ กลิ่นดินหอมอบอวล
ทว่าเมื่อมาถึงที่นี่ กลับมีเส้นทางเล็กๆ คดเคี้ยวตัดกันไปมามากมาย จนซูหว่านหลงทิศ ทางประเมินตัวเองไว้สูงเกินไปจริงๆ
ขณะนั้นเอง เด็กเลี้ยงแพะอายุราวๆ เจ็ดแปดปีก็เดินสวนมา เขากำลังต้อนแพะเจ็ดแปดตัวขึ้นเขา ในมือถือแส้ยาวถักจากฟางข้าวสำหรับต้อนแพะ
ฝูงแพะเดินไปร้องไป แถมยังปล่อยไข่มุกเม็ดดำเรี่ยราดไว้ตามทางอีก
ซูหว่านหยุดเขาเพื่อถามทาง “น้องชาย บ่อน้ำของหมู่บ้านเราอยู่ตรงไหนหรือ”
เด็กเลี้ยงแพะเพิ่งเคยเห็นพี่สาวตัวน้อยที่ดูสะอาดหมดจดเช่นนี้เป็นครั้งแรก รอยยิ้มของอีกฝ่ายก็งดงามมาก น้ำเสียงที่เปล่งออกมาก็นุ่มนวล ทำให้หูของเขาแดงเล็กน้อย
เขาก้มหน้าไม่กล้ามองนางตรงๆ จากนั้นจึงชี้ไปยังทิศทางหนึ่ง “เดินตรงไปตามถนนเส้นนี้ เลี้ยวโค้งก็ถึงแล้ว!”
“ขอบใจเจ้ามากนะ!”
เมื่อได้คำตอบ ซูหว่านก็อุ้มไหน้ำเดินจากไป เด็กชายมองตามแผ่นหลังของนาง ในใจกำลังคิดว่า ตั้งแต่เมื่อใดกันที่หมู่บ้านมีพี่สาวสวยขนาดนี้อยู่ เหตุใดเขาจึงไม่เคยรู้เลย?
ข้างบ่อน้ำมีต้นไม้ใหญ่แผ่กิ่งก้านสาขาหนาครึ้มปกคลุมบ่อน้ำด้านล่างอย่างเหมาะเจาะ ในร่องหินมีน้ำใสไหลรินเอื่อยๆ ชาวบ้านได้ก่อเป็นบ่อน้ำสี่เหลี่ยมไว้ ณ ที่แห่งนี้ คนทั้งหมู่บ้านต่างมาตักน้ำดื่มที่นี่ ทุกคนทะนุถนอมน้ำพุนี้อย่างดี ไม่เคยทิ้งสิ่งสกปรกลงไป
หากต้องการซักผ้าหรือล้างผัก จะมีแม่น้ำอยู่ไม่ไกล
ใต้ร่มไม้ใหญ่มีกลุ่มผู้สูงอายุหลายคนนั่งพักผ่อนคลายร้อน คนในบ้านต่างออกไปทำงานกันหมดแล้ว พวกผู้เฒ่าจึงมารวมตัวจับกลุ่มคุยกันเรื่องสัพเพเหระ ซูหว่านเดินเข้ามาด้วยท่าทางด้วยความรู้สึกประดักประเดิด ท่ามกลางสายตาที่มองมาอย่างใคร่ครวญ มีบางคนเริ่มซุบซิบวิพากษ์วิจารณ์กันแล้ว
“เห็นไหม นี่ไง ลูกสาวแท้ๆ ของบ้านตระกูลซู นางไปเป็นคุณหนูที่บ้านเจ้าสัวกู้มาสิบกว่าปีเชียวนะ!”
“อย่างนั้นตอนนี้ซูเย่ว์ก็เป็นคุณหนูตระกูลกู้แล้วใช่ไหม”
“แน่นอนสิ นางเป็นลูกแท้ๆ ของบ้านนั้นนี่นา วันก่อนฮูหยินกู้ตรงดิ่งไปรับนางที่บ้านตระกูลซูเองเลย แต่ละคำที่พ่นออกมามีแต่คำดูถูก หาว่าพวกเขายากจนไม่เอาไหน ตอนนี้จะเรียกซูเย่ว์ไม่ได้แล้ว ต้องเรียกว่าคุณหนูกู้!”
“มีเงินไม่เท่าไรก็ดูถูกคนบ้านนอกแล้ว แต่ตระกูลซูก็นะ ยากจนอยู่แล้ว ยังอุตส่าห์มีลูกชายตั้งหลายคน แถมยังส่งไปเรียนหนังสือทุกคนอีก เจ้าว่าพวกเขาหาเรื่องใส่ตัวไหมล่ะ บ้านอื่นเขาพยายามแทบตายก็ไม่มีลูกชาย นางหยางกลับมีลูกชายหัวปีท้ายปี คนอยากมีกลับไม่มี คนจะมีก็คลอดเอาคลอดเอา ตอนที่แต่งเข้าตระกูลซู นางผอมแห้งขนาดไหน ไม่เหมือนคนจะมีลูกชายได้เลย แล้วดูตอนนี้สิ!”
คำพูดของหญิงชราเหล่านี้ล้วนแต่เต็มไปด้วยความอิจฉา แต่แม่ซูมีลูกชายตั้งห้าคน ถือเป็นตำนานในหมู่บ้าน หลายคนที่ไม่มีลูกชายต่างก็ริษยานาง!
เมื่อซูหว่านเดินเข้ามาใกล้ พวกนางต่างชูคอชะเง้อมอง ซูหว่านยิ้มอย่างเก้อเขิน
“จุ๊ๆๆ เด็กคนนี้สวยกว่าซูเย่ว์เยอะเลย ตอนนั้นข้าเคยบอกแล้วว่าซูเย่ว์ไม่เหมือนลูกแท้ๆ เลยสักนิด จมูก ตา คิ้ว ไม่มีส่วนไหนที่เหมือนคนในตระกูลซูเลย ดูสิ ข้าพูดถูกใช่ไหม แม่หนูคนนี้ แค่มองก็รู้แล้วว่าเป็นลูกแท้ๆ!”
“นั่นสิ ไม่รู้ว่าตระกูลซูทำบุญอะไรมา ลูกแต่ละคนหล่อเหลามาก ที่สำคัญคือเด็กๆ บ้านนี้ขยันขันแข็งกันทุกคน เฮ้อ ไม่พูดแล้วดีกว่า ตอนนี้นางแซ่กู้ จะเรียกซูเย่ว์ได้ยังไง?”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ชีวิตพลิกผัน ข้ากลายเป็นคุณหนูตัวปลอม