การเลี้ยงดูเด็กๆถึงหกคนถือเป็นภาระที่หนักมาก พ่อแม่ซูจึงจำเป็นต้องออกไปทำงานข้างนอก พ่อซูเป็นคนงานในเหมืองถ่านหิน แม่ซูเป็นแม่ครัวในเหมืองถ่านหิน ทั้งสองทำงานที่เดียวกันเพื่อช่วยกันจุนเจือครอบครัว
เพราะลูกๆ ต้องเรียนหนังสือ เมื่อก่อนทั้งสองต่างก็ทำงานในบ้านของเศรษฐีในตัวอำเภอ แต่ต่อมาเมื่อคลอดบุตรสาว พวกเขาจึงกลับมาอยู่ที่ชนบท ช่วงเวลานั้น ช่วงนั้นพ่อซูต้องทำงานนอกบ้านอยู่เสมอ เดิมทีเขาเป็นชายหนุ่มรูปหล่อ แต่ความตรากตรำทำให้เขากลายเป็นผู้ชายหยาบกร้าน ผิวคล้ำเสียจนแทบไม่เห็นเงาความหล่อเหลาในวัยหนุ่ม
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา นอกจากค่าเล่าเรียนแล้ว ความเจ็บป่วยชั่วครั้งชั่วคราว ยังทำให้พวกเขาต้องกู้หนี้ยืมสินมากมาย
แม่ซูก็เช่นกัน ตอนสาวๆ นางเป็นสาวงามคนหนึ่งเลยทีเดียว เศรษฐีเจ้าที่ดินจำนวนมากต้องการรับนางเป็นอนุ แต่นางกลับเลือกความรัก หลังจากผ่านความยากลำบากมามากมาย มือทั้งสองข้างเต็มไปด้วยรอยด้าน เพราะทำงานในครัวมานาน จำต้องคลุกคลีกับควันไฟ นางในอายุสี่สิบปีจึงดูไม่ต่างไปจากหญิงชราวัยห้าสิบปี ใบหน้าเต็มไปด้วยริ้วรอย!
ยามนี้พวกเขารอคอยความสำเร็จของซูจิ่ง หากเขาสอบได้ ไม่ว่าจะเป็นจวี่เหริน*หรือจิ้นซื่อสามสิบอันดับแรก ชีวิตของคนในครอบครัวก็จะดีขึ้นมาก
(**จวี่เหริน ตำแหน่งของผู้ที่สอบผ่านการสอบระดับมณฑล)
(**จิ้นซื่อ คือการสอบบัณฑิตขั้นสูง เป็นการสอบระดับราชวัง)
ปกติซูอวิ๋นรับหน้าที่หุงหาอาหาร เขาเป็นคนมีพรสวรรค์ในด้านนี้ ความคิดสร้างสรรค์มากมาย แล้วยังกล้าที่จะทดลอง ดังนั้นเขาจึงมีฝีมือการทำอาหารที่ยอดเยี่ยมมาก
“ท่านพ่อท่านแม่ วางใจได้ ข้าในฐานะพี่ใหญ่ จะดูแลหวานหว่านเป็นอย่างดี เจ้าสาม ปกติข้ากับเจ้ารองต้องอยู่ที่อำเภอ ที่บ้านเจ้าถือเป็นคนโตที่สุด เจ้าจะต้องดูแลหวานหว่านให้ดีล่ะ!”
จู่ๆ ก็ได้รับหน้าที่สำคัญ ซูเฉินรู้สึกว่าตนเองกลายเป็นคนสำคัญมาก จึงผงกศีรษะรับอย่างจริงจัง
“พี่ใหญ่ รับทราบ!”
ซูจิ่งต้องไปเรียนหนังสือ จะกลับบ้านเพียงเดือนละครั้งหรือสองครั้ง ส่วนซูมู่ก็ทำงานที่โรงหมอในตัวอำเภอ จะกลับบ้านเพียงสัปดาห์ละครั้งเท่านั้น ได้รับค่าจ้างสองร้อยอีแปะต่อเดือน ซึ่งก็คือสองตำลึง เนื่องจากเขาเป็นเด็กฝึกงาน เงินเดือนจึงไม่สูงนัก เขาเพิ่งทำงานได้หนึ่งปี เงินทั้งหมดที่เขาได้รับจะนำไปช่วยเหลือครอบครัว
ในบ้านจึงเหลือเพียงเจ้าสาม เจ้าสี่ และเจ้าห้า ทั้งสามมีหน้าที่คอยดูแลบ้านและทำไร่ไถนา พวกเขาศึกษาเล่าเรียนตั้งแต่อายุหกปีจนถึงสิบสี่ปี จึงอ่านออกเขียนได้และคิดคำนวณเป็น แต่พวกเขาไม่ได้มุ่งหวังที่จะสอบเข้ารับราชการ เพราะหากเรียนต่อไป พ่อแม่ก็คงต้องรับภาระหนักเกิน
ซูอวิ๋นเงียบไปนาน ใบหน้าของเขาแดงก่ำ จู่ๆ ก็รู้สึกไม่กล้าสบตาซูหว่าน
“ถึงเจ้าจะน่าสงสาร แต่ข้าก็ยังถือว่าเย่ว์เย่ว์เป็นน้องสาวของข้า ไม่เปลี่ยนแปลง ฮึ่ม!” ซูอวิ๋นทิ้งคำพูดประโยคหนึ่งไว้ ก่อนจะเดินอาดๆ เข้าไปในครัว แต่เมื่อเทียบกับก่อนหน้านี้ น้ำเสียงของเขาอ่อนลงมาก
ซูอี้ยิ้มตลอดเวลา จนซูหว่านคิดว่าหากเขายิ้มแบบนี้ทั้งวัน ใบหน้าจะเหี่ยวย่นหมดหรือไม่?
“น้องหวานหว่าน เจ้ามองข้าทำไม” เขาหรี่ตาลง
“แน่นอนว่าเพราะพี่ห้าหน้าตาดี!”
ซูอี้เพิ่งจะสิบห้าปี ใบหน้ายังคงมีเค้าความเยาว์วัย แต่รูปโฉมนั้นหล่อเหลาจริงๆ ซูหว่านเคยอ่านนิยายมาก่อน จึงรู้ว่าในบรรดาพี่ชายทั้งห้า เขาเป็นคนที่อ่อนโยนและใส่ใจรายละเอียดที่สุด เรื่องราวมากมายไม่อาจเล็ดลอดสายตาของเขาไปได้ เขารู้แจ้งทะลุปรุโปร่ง มักจะชี้ประเด็นได้อย่างตรงจุดจนคนเถียงไม่ออก แต่ก็ยังคงรักษามารยาทอย่างดี จนต้องอุทานว่าคนหน้ายิ้มนี่แหละคือสัตว์ประหลาดที่แท้จริง
“น้องหวานหว่านปากหวานจริงๆ!”
อาหารเช้ามีแค่ซูหว่านคนเดียวที่มีหมั่นโถวแป้งสาลีขาวกิน ในตะกร้ามีแค่สี่ชิ้น ซูหว่านแบ่งออกเป็นแปดส่วน พอดีคนละส่วน
ก่อนที่พวกเขาจะปฏิเสธ ซูหว่านก็พูดขึ้น “ครอบครัวเดียวกันต้องรู้จักแบ่งปันกัน ถ้ามีของอร่อยก็ต้องกินด้วยกัน!”
คนที่เคยชินกับชีวิตที่สุขสบายอย่างนาง กลับเต็มใจที่จะกินมันเทศและแป้งทอดไส้ผักป่ากับพวกเขา ทั้งยังกินอย่างเอร็ดอร่อย บางทีนางอาจจะกินอาหารรสเลิศมานานจนรู้สึกว่านี่เป็นของใหม่ กินไปสักพัก นางอาจจะเบื่อก็ได้
หลังกินอาหารเช้าเสร็จแล้ว พ่อซูและแม่ซูต้องกลับไปทำงานที่เหมืองต่อ พืชผลที่ครอบครัวเก็บเกี่ยวไม่เพียงพอสำหรับการบริโภคทั้งปี ส่วนใหญ่ยังต้องใช้เงินซื้อข้าวสาร แป้ง หรือน้ำมัน ลูกๆ ก็เติบโตขึ้นทุกปี ต้องหาผ้ามาตัดเย็บเสื้อผ้าและรองเท้าใหม่อีก ไหนจะต้องเก็บหอมรอมริบให้ลูกชายแต่งภรรยา เรียกได้ว่าขัดสนยิ่งนัก!
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ชีวิตพลิกผัน ข้ากลายเป็นคุณหนูตัวปลอม