“ท่านพ่อท่านแม่ พวกท่านก็กินด้วย หากเนื้อไม่หมด ห้ามลุกจากโต๊ะนะ!”
ซูหว่านไม่ลืมที่จะหันกลับมาใส่ใจพ่อซูและแม่ซู สิ่งนี้ทำให้ทั้งสองรู้สึกผิดมาก ตั้งแต่ลูกสาวก้าวเข้ามาในบ้าน พวกเขาก็แสดงท่าทีเย็นชา แต่ลูกสาวกลับคิดถึงพวกเขาในทุกเรื่อง
ถึงหวานหว่านจะเป็นลูกสาวแท้ๆ แต่ก็ไม่ได้มีความผูกพันกัน พวกเขาเลี้ยงดูเย่ว์เย่ว์มาสิบกว่าปี จะบอกว่าไม่มีความรู้สึกก็คงไม่ใช่ แม้ว่าจะไม่ใช่ลูกสาวแท้ๆ พวกเขาก็เห็นนางเป็นลูกสาวแท้ๆ ของตัวเอง
“จ้ะ หวานหว่านก็กินด้วยนะ!” แม่ซูคีบอาหารให้ซูหว่านอย่างกระตือรือร้น
“ขอบคุณท่านแม่!”
ฮูหยินกู้เลี้ยงดูนางมาได้ดีมาก วาจาไพเราะมีมารยาท ในทางกลับกัน พวกเขากลับเลี้ยงดูลูกสาวของคนอื่นไม่ดี ปล่อยให้นางต้องอยู่อย่างอัตคัดมาเป็นสิบปี
ซูหว่านหยิบมันเทศขึ้นมากินอย่างเป็นธรรมชาติ
“เจ้ากินข้าวเถอะ มันเทศไม่อร่อยหรอก!”
แม่ซูรีบห้าม พวกเขาตั้งใจหุงข้าวขาวให้นาง ข้าวเจ้าในตลาดมีราคาแพงมาก ที่ทำกินของครอบครัวก็มีน้อย มีที่นาเพียงสามหมู่เท่านั้น พวกเขาต้องแบ่งที่ดินส่วนหนึ่งมาปลูกพืชผลที่ให้อิ่มท้องอย่างเช่น หัวมัน ข้าวโพด หรือมันเทศ เหลือที่ปลูกข้าวเพียงสองหมู่เท่านั้น เมื่อถึงฤดูใบไม้ผลิ พวกเขาจะไปรับเมล็ดพันธุ์ที่ผู้ใหญ่บ้าน การทำนาในสมัยโบราณไม่เหมือนสมัยใหม่ที่มีเทคโนโลยีมากมาย ทั้งยังไม่มีข้าวพันธุ์ผสม ผลผลิตจึงไม่ดีนัก ที่ดินสองหมู่ให้ผลผลิตข้าวเปลือกมากที่สุดเพียงห้าร้อยชั่งต่อปี เมื่อสีเอาเปลือกออกแล้วจะเหลือประมาณสี่ร้อยชั่ง และยังต้องเสียภาษีให้ทางการอีก ครอบครัวของพวกเขามีสมาชิกมาก ภาษีที่ต้องจ่ายให้ทางการจึงมากขึ้นตามไปด้วย (**1 หมู่ เทียบเท่ากับ 666.67 ตารางเมตร)
ตามกฎแล้ว คนหนึ่งคนต้องเสียภาษีห้าสิบเฉียนต่อปี ตระกูลซูมีสมาชิกแปดคน ซึ่งก็คือเงินสี่ตำลึง หากไม่มีเงิน ก็ต้องจ่ายส่วยพืชผลทางการเกษตรแทน ข้าวเจ้าในตลาดมีราคาชั่งละสิบอีแปะ ในขณะที่ข้าวไม่ขัดสีหรือข้าวกล้องมีราคาหกอีแปะต่อชั่ง ข้าวของพวกเขาเป็นข้าวกล้อง ดังนั้นคนหนึ่งคนต้องจ่ายส่วยข้าวมากกว่าแปดชั่ง รวมแล้วต้องจ่ายประมาณเจ็ดสิบชั่ง
สำหรับครอบครัวแปดคน ข้าวสารสามร้อยชั่งไม่มีทางพอสำหรับหนึ่งปี พวกเขาจึงต้องกินหัวมันและมันเทศเพื่อให้อิ่มท้อง หากปีไหนแห้งแล้ง ก็จะไม่มีแม้แต่หัวมันหรือมันเทศให้กิน
ข้าวสารสามสิบชั่งที่ซูจิ่งได้รับ ก็ยังไม่พอสำหรับทั้งครอบครัวกินหนึ่งเดือน
เขาเพิ่งไปรับมาเมื่อสองวันก่อนพอดี จึงเก็บไว้ให้นางทั้งหมด
“อร่อยมาก มันเทศหอมหวาน ข้าชอบกิน!”
แม่ซูพยายามจะแย่ง แต่ซูหว่านหลบ นางอ่านนิยายต้นฉบับมาจึงรู้ดีถึงสถานการณ์ของบ้านตระกูลซู ดังนั้นนางยิ่งไม่สามารถเอาแต่ใจได้
นางจะกินทิ้งกินขว้างไม่ได้ นางจัดการกินมันเทศหนึ่งหัว แป้งทอดไส้ผักป่าหนึ่งชิ้น และข้าวสวยจนหมด
อาหารมื้อแรกของนางกับตระกูลซูจบลงเช่นนี้ นอกจากเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ของพี่สี่แล้ว ทุกอย่างก็ถือว่าเป็นไปด้วยดี ความประทับใจแรกของคนในตระกูลซูที่มีต่อนาง ก็คงจะไม่เลวเลยกระมัง?
ไม่จองหอง อ่อนโยน และมีมารยาท!
หลังมื้ออาหาร ซูจิ่งพานางไปยังห้องของนาง ภายในบ้านมีเพียงสามห้อง ห้องหนึ่งสำหรับพ่อและแม่ ห้องหนึ่งสำหรับนาง ส่วนพี่ชายทั้งห้าเบียดอยู่ในห้องเดียวกัน พวกเขาทำเตียงยาวให้นอนรวมกัน ฤดูหนาวก็อบอุ่นดี แต่ในฤดูร้อนก็แย่หน่อย เหงื่อไหลท่วมตัวกันทุกคน
ห้องค่อนข้างเล็กมาก แต่ของจำเป็นก็มีครบครัน นางมีเตียงของตัวเอง มีตู้ของตัวเอง เพราะนางเป็นลูกสาวคนเดียวในบ้าน จึงมีห้องส่วนตัว
แม้ว่าตระกูลซูจะมีฐานะไม่ดี แต่พวกเขาก็รักลูกสาวคนเดียวของพวกเขา ในนิยาย พี่ชายทั้งห้าไม่เคยปล่อยให้กู้เย่ว์ทำงานในทุ่งนา ทั้งยังไม่ยอมให้นางทำอาหาร แม้จะอาศัยอยู่ในชนบท แต่นางก็ไม่เคยต้องทำงานหนักให้มือหยาบกระด้าง นอกเหนือจากปัจจัยสี่ที่ไม่ค่อยดีนัก เรื่องอื่นๆ ก็ถือว่ายอดเยี่ยมไร้ที่ติ
ข้างหน้าต่าง มีรองเท้าปักลายวางอยู่สองสามคู่ พื้นและหน้ารองเท้าอยู่ในสภาพดี เมื่อเทียบกับรองเท้าของพวกพี่ชายแล้ว ไม่ว่าจะเป็นหัวรองเท้าที่ขาดจนเห็นนิ้วเท้า หรือตัวรองเท้าที่ปริแตก หรือไม่ก็มีรอยปะ
เสื้อผ้าก็เช่นกัน เสื้อผ้าชุดหนึ่งใส่จนเก่า ขาดแล้วก็ปะชุนซ่อมแซมใส่ต่อได้ เสื้อผ้าของพี่ใหญ่ก็ส่งต่อให้พี่รอง ตราบใดที่ยังใส่ได้ พวกเขาก็จะส่งต่อไปเรื่อยๆ
“วันนี้เจ้าก็เหนื่อยมาทั้งวันแล้ว พี่จะไปตักน้ำร้อนให้ เจ้าจะได้อาบน้ำและนอนหลับสบาย!”
พี่ใหญ่ยังคงทำหน้าที่ของพี่ชายคนโต แม้จะยังไม่คุ้นเคยกับน้องสาวแท้ๆ ของตน แต่เขาก็คอยดูแลความรู้สึกของนาง
“พี่ใหญ่รีบไปพักผ่อนเถอะ ข้าทำเองได้ เดินมาทั้งวันแล้ว พรุ่งนี้พี่ยังต้องกลับไปที่สำนักศึกษาอีก!”
ช่วงเช้าเขาเดินทางเพื่อไปรับนาง ช่วงบ่ายยังต้องพานางกลับมาอีก เป็นการเดินทั้งวันจริงๆ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ชีวิตพลิกผัน ข้ากลายเป็นคุณหนูตัวปลอม