บรรยากาศอึดอัดมาก ซูหว่านรู้สึกอึดอัดยิ่งกว่า คิดไม่ถึงเลยว่าพี่สี่คนนี้จะต่อต้านนางขนาดนี้ ถึงขนาดไม่ไว้หน้านางเลยต่อหน้าคนมากมาย แต่ช่างเถอะ นางหน้าหนา ขอเพียงนางไม่รู้สึกสะทกสะท้าน คนที่สะทกสะท้านก็คือคนอื่น
“ซูอวิ๋น หวานหว่านกำลังคุยกับเจ้า เจ้าไม่ควรจะไร้มารยาทกับนางแบบนี้!” ซูจิ่งในฐานะพี่ชายคนโตออกหน้าไกล่เกลี่ย
ตอนนี้เย่ว์เย่ว์กลายเป็นคุณหนูใหญ่ผู้สูงศักดิ์แล้ว สถานะของครอบครัวนางแตกต่างจากตระกูลซูของเขาราวฟ้ากับดิน พวกเขาเอื้อมไม่ถึง ในวันนั้นฮูหยินกู้พูดว่า ในเมื่อเรื่องมาถึงจุดนี้ การถามหาความผิดพลาดใดๆ ก็ไร้ประโยชน์ แต่นางจะไม่มีทางให้ความช่วยเหลือหรือผลประโยชน์ใดๆ แก่ครอบครัวของพวกเขาเพียงเพราะความสัมพันธ์ของพวกเขากับเย่ว์เย่ว์ สีหน้าท่าทางที่หยิ่งผยองของอีกฝ่าย เขาไม่มีวันลืม
สำหรับเย่ว์เย่ว์ เขายังเห็นว่านางเป็นน้องสาวเหมือนเดิม แต่นางได้ออกจากบ้านที่ยากจนแห่งนี้ไปยังชีวิตที่ดีกว่าแล้ว ต่อจากนี้ไปพวกเขาไม่จำเป็นต้องห่วงนางอีก
ฮูหยินกู้ไม่ชอบให้พวกเขาไปมาหาสู่กับนาง พวกเขาย่อมเข้าใจในสถานะของตน
แต่คนหัวร้อนอย่างซูอวิ๋นคนนี้มีหรือจะฟัง เขาพยายามระงับอารมณ์ของตัวเอง แล้วลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว
“พวกเจ้ากินกันไปเถอะ ข้ากินไม่ลงแล้ว”
หลังจากพูดจบ ก็ลุกขึ้นเดินออกจากบ้าน สีหน้าของเขาดูเจ็บปวดเล็กน้อย
ซูหว่านเตรียมพร้อมอยู่ในใจ ดูท่าพี่สี่คนนี้คงงานหินที่สุดแล้ว
“หวานหว่าน...” ซูจิ่งเห็นท่าทางผิดหวังของนาง ในใจคิดอยากจะปลอบ แต่ก็ไม่รู้จะเอ่ยปากอย่างไร แม่ซูก็ทำอะไรไม่ถูก พ่อซูก็นิ่งเงียบ
“อาหารเย็นหมดแล้ว แม่จะเอาไปอุ่นให้!”
“พ่อจะไปช่วยดูไฟ!”
พ่อซูและแม่ซูหนีออกจากบรรยากาศที่อึดอัดนี้ ซูจิ่งจึงดึงซูหว่านให้นั่งลง
“ไม่เป็นไรนะหวานหว่าน พี่สี่ของเจ้าจะค่อยๆ ยอมรับเจ้าเอง!”
เมื่อได้ยินดังนั้น ซูหว่านก็ยิ้มให้เขา “อืม ข้ารู้!”
ตอนนี้คนสุดท้ายก็เหลือเพียงพี่ห้าแล้ว บรรยากาศบนโต๊ะอาหารอึดอัดเล็กน้อย ทุกคนต่างก็มีความคิดของตัวเอง ซูหว่านทักทายพี่ห้าซูอี้ “พี่ห้า!”
ซูอี้เป็นคนเดียวที่ยิ้มให้นาง ภายนอกเขาดูอ่อนโยนและเข้ากับคนง่าย ไม่แก่งแย่งชิงดี แต่จริงๆ แล้วเขาเป็นคนที่มีความคิดละเอียดอ่อนที่สุด เพียงแต่คำพูดของเขามักจะแฝงไปด้วยความนัย
เขาและซูอวิ๋นเหมือนคนละขั้ว คนหนึ่งกระตือรือร้น อีกคนหนึ่งเงียบสงบ นับเป็นความแตกต่างกันตามแบบฉบับของฝาแฝด
“น้องหวานหว่าน!”
แม่ซูอุ่นอาหารแล้วยกมาวางบนโต๊ะอีกครั้ง ตระกูลซูยากจนมากจริงๆ ปกติอาหารบนโต๊ะแทบจะมองไม่เห็นเนื้อเลย เพราะลูกๆ ในบ้านต้องเรียนหนังสือ พ่อซูหวังว่าพวกเขาจะประสบความสำเร็จในอนาคต ไม่ใช่คนไร้ความรู้ จึงได้ส่งพวกเขาไปเรียนหนังสือเมื่อถึงวัยเล่าเรียน ภาระค่าครองชีพของครอบครัวจึงหนักมาก แม้แต่กู้เย่ว์ก็ยังได้เรียนหนังสือ ซึ่งดูแปลกประหลาดมากสำหรับห้องเรียนที่มีแต่เด็กผู้ชาย
ในสมัยโบราณ พวกเขาเชื่อว่าสตรีที่ไม่รู้หนังสือคือสตรีที่ดี ยิ่งในชนบทแล้ว ความคิดนี้ฝังรากลึกมาก
ในบรรดาพี่น้องทั้งห้าคน มีเพียงซูจิ่งเท่านั้นที่มีพรสวรรค์ด้านการเรียน เขาชอบเรียนหนังสือ หมกมุ่นอยู่กับการอ่านตำรา และยังตั้งใจที่จะเข้าร่วมการสอบจอหงวน ความฝันของเขาในอนาคตคือการรับราชการ หนึ่งเพื่อช่วยเหลือประชาชน สองคือทำให้ครอบครัวมีชีวิตที่ดี
เมื่ออายุสิบหกปี เขาสอบผ่านระดับอำเภอได้เป็นซิ่วไฉ เมื่อสามปีก่อน เขาควรจะเข้าร่วมการสอบจอหงวน แต่เนื่องจากกู้เย่ว์ป่วยหนัก เงินทั้งหมดในบ้านจึงหมดไปกับการรักษานาง จึงทำให้เขาพลาดการสอบครั้งนั้นไป
ฤดูใบไม้ผลิปีหน้าจะมีการจัดสอบอีกครั้ง โอกาสของเขามาถึงแล้ว จะผิดพลาดไม่ได้
ซิ่วไฉสามารถขอรับข้าวสารสามโต่ว*และเงินสามเฉียน*จากทางการได้ทุกเดือน เงินสามเฉียนหรือก็คือเงินสามสิบอีแปะ ยุคนี้ให้ความสำคัญกับบัณฑิต สวัสดิการสำหรับผู้เล่าเรียนหนังสือจึงค่อนข้างสูง แต่ค่าเล่าเรียนของสำนักศึกษาของเขาคือห้าตำลึงต่อปี เขาต้องออมเงินเป็นเวลาหนึ่งปีกับห้าเดือนถึงจะมีเงินพอสำหรับจ่ายค่าเล่าเรียน หลังจากสอบได้เป็นซิ่วไฉแล้ว เขาก็ได้รับการตอบรับเข้าศึกษาในสำนักศึกษา เวลาส่วนใหญ่จึงศึกษาเล่าเรียนอยู่ในตัวอำเภอ ในเวลาว่างเขาก็หารายได้เลี้ยงชีพด้วยการรับจ้างเขียนจดหมาย ข้าวสารสามโต่วที่ได้รับทุกเดือนจะถูกส่งกลับบ้านทั้งหมด เมื่อเงินค่าเล่าเรียนประจำปีไม่พอ พ่อซูและแม่ซูก็จะช่วยออกส่วนที่เหลือให้
(**โต่ว คือมาตราการตวง หนึ่งโต่วเทียบได้ประมาณ 10 กิโลกรัม)
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ชีวิตพลิกผัน ข้ากลายเป็นคุณหนูตัวปลอม