ซูจิ่งไม่ได้มีความผูกพันกับน้องสาวคนใหม่คนนี้เลย แต่เขาก็ปล่อยให้ซูหว่านจูงมือตลอดทาง
หลังจากออกนอกเมือง ก็มาถึงเส้นทางขรุขระสายเล็กๆ ที่มุ่งหน้าสู่ชนบท ซูหว่านก็ยังคงอารมณ์ดี ไม่ได้รู้สึกหงุดหงิดใจเลยที่กระโปรงของนางเปื้อนฝุ่นดิน
เมื่อมาถึงทางแยก ซูหว่านไม่รู้ว่าจะไปทางไหน จึงหันมองพี่ใหญ่ซูจิ่ง คิ้วขมวดมุ่นเล็กน้อย
“พี่ใหญ่ ข้าไม่รู้แล้วว่าต้องไปทางไหน!” ถ้อยคำของนางราวกับกำลังออดอ้อน ทำให้คนฟังไม่กล้าปฏิเสธ
ใบหน้าของซูจิ่งแฝงไปด้วยรอยยิ้ม เขาจับมือเล็กๆ ของซูหว่านกุมไว้ในฝ่ามือของตน มือของนางนุ่มนิ่มมาก จนเขากลัวว่าจะเผลอบีบแรงไปและทำให้นางเจ็บ
พระอาทิตย์กำลังจะตกดิน พวกเขาต้องรีบกลับบ้าน มิฉะนั้นพวกเขาอาจจะเจอหมาป่าภูเขา
เขาจูงมือซูหว่านเดินไปทางซ้าย มือของพี่ชายทั้งใหญ่และอบอุ่น แผ่นหลังของเขาตั้งตรง ในนิยายบรรยายไว้ว่า แม้ชีวิตจะขัดสนและโหดร้ายสักเพียงใด ก็ไม่อาจกดดันให้หลังของเขาค่อมงอได้ เพราะเป็นพี่ชายคนโต เขาจึงโอบอ้อมอารีต่อน้องๆ เป็นอย่างมาก
ซูหว่านในยุคปัจจุบันไม่มีพ่อแม่พี่น้อง พ่อแม่ของเธอเสียชีวิตจากอุบัติเหตุตั้งแต่เธอยังเด็ก เธอจึงต้องอาศัยอยู่กับครอบครัวของน้าชาย แต่น้าสะใภ้ไม่ชอบเธอ เป็นเหตุให้ชีวิตก่อนเข้ามหาวิทยาลัยของเธอค่อนข้างลำบาก จนกระทั่งเธอเข้ามหาวิทยาลัยและได้หลีกหนีจากสถานที่ที่เต็มไปด้วยแรงกดดัน เธอถึงรู้สึกหายใจได้เต็มปอดอีกครั้ง จึงเริ่มเรียนและทำงานพิเศษไปด้วย แม้จะต้องลำบากทุกข์ยาก แต่เธอก็สุขใจ
เมื่อคิดว่าต่อจากนี้ไปเธอจะมีครอบครัวมาคอยใส่ใจ ครอบครัวที่มีสายเลือดเดียวกับเธอ เธอก็รู้สึกอบอุ่นและปลอดภัย
บางทีตอนนี้พวกเขาอาจจะยังไม่ชอบเธอ แต่เธอจะพยายามทำให้พวกเขาเห็นเธอเป็นคนในครอบครัวให้ได้
ท้องฟ้ามืดสนิท สองพี่น้องก็กลับมาถึงหมู่บ้านจนได้ในที่สุด คบเพลิงส่องสว่างขึ้นในหมู่บ้าน เหมือนดาวดวงเล็กๆ ในท้องฟ้ายามค่ำคืน
หลังจากเดินลัดเลาะเลี้ยวไปมาตามถนนชนบทสายเล็กๆ ในที่สุดทั้งสองก็มาถึงบ้านตระกูลซู บ้านสวนขนาดเล็กที่ล้อมรอบด้วยรั้วไม้ไผ่ ตัวบ้านมุงหลังคาจากเรียบง่าย มีเพียงสามห้องเท่านั้น
ทุกคนในตระกูลซูต่างนั่งอยู่ที่โต๊ะอาหารในบ้าน โต๊ะของพวกเขามีขนาดใหญ่พอที่จะนั่งได้ถึงแปดคน เพราะคนในครอบครัวมีจำนวนมาก เครื่องเรือนชิ้นใหญ่เพียงชิ้นเดียวในบ้านก็คือโต๊ะแปดเซียน*ตัวนี้ (โต๊ะแปดเซียน คือโต๊ะอเนกประสงค์สี่เหลี่ยมจัตุรัสขนาดใหญ่ สามารถนั่งได้ถึงแปดคน)
อาหารบนโต๊ะเย็นชืดแล้ว อารมณ์ของทุกคนดูไม่ค่อยดีนัก ซูจิ่งพาซูหว่านกลับมาถึง พร้อมๆ กับเสียงสุนัขในหมู่บ้านที่เริ่มเห่า
“ท่านพ่อ ท่านแม่ พวกเรากลับมาแล้ว!” เสียงของลูกชายคนโตดังมาจากลานบ้าน ผู้เป็นพ่อและแม่เดินออกมาต้อนรับ ในขณะที่บุตรชายทั้งสี่ยังคงนั่งนิ่ง
ทันทีที่ก้าวเข้าไปในบ้าน ซูหว่านก็รู้สึกประหม่าขึ้นมาทันที นางลอบสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะเผยรอยยิ้มบริสุทธิ์ไร้พิษภัย เตรียมพร้อมที่จะพบกับครอบครัวใหม่ของตนเอง
แม้ว่านางปกปิดความรู้สึกได้ดี แต่ซูจิ่งก็ยังสังเกตเห็นมือที่กำแน่นเล็กน้อยของนาง จึงปลอบโยนด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“ไม่ต้องกลัว ท่านพ่อกับท่านแม่ใจดีมาก!”
ชั่วพริบตา สถานะของพี่ใหญ่ในใจของนางก็สูงขึ้นทันที พี่ใหญ่ช่างอ่อนโยน นี่แหละคือแบบอย่างที่พี่ใหญ่ควรจะเป็น
ในความมืด เงาของคนสองคนปรากฏขึ้นสวนทางกับแสงไฟ เงาหนึ่งสูงกว่าอีกเงาหนึ่ง แม้จะไม่สามารถมองเห็นใบหน้าของพวกเขาได้ชัดเจน แต่นางรู้ดีว่านับแต่นี้ต่อไปพวกเขาก็คือพ่อแม่ของนาง
“ท่านพ่อ ท่านแม่!”
นางยังคงเรียกขานทั้งสองอย่างสุภาพ สองสามีภรรยาชะงัก พวกเขาเตรียมใจไว้แล้วว่าลูกสาวคนใหม่คงจะเย็นชากับพวกเขา ทว่านางกลับริเริ่มทักทายพวกเขาก่อน ฟังจากน้ำเสียงไม่ได้ไม่มีความไม่พอใจอะไรเลย
“อืม… หวานหว่านกลับมาก็ดีแล้ว แม่ทำอาหารเตรียมไว้ เจ้าหิวหรือยัง รีบเข้ามากินข้าวสิ!”
เป็นแม่ซูที่ตอบสนองได้ก่อน ขยับเข้ามาจับมือซูหว่าน มือของนางหยาบกร้านและเต็มไปด้วยรอยด้าน
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ชีวิตพลิกผัน ข้ากลายเป็นคุณหนูตัวปลอม