เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า นิยาย บท 2251

“ไอ้บอดหลัว นายไม่รู้สึกเลยเหรอว่า เราดูเหมือนจะเข้าใกล้กันมากขึ้นทุกทีนะ!”

ผู้อาวุโสใหญ่ออกอาการตื่นเต้นจนเผลอเร่งความเร็วแล้วเหาะมุ่งทะยานไปทางหน้าอย่างรวดเร็ว

ลำแสงที่รัศมีแผ่กระจายเป็นวงกว้างออกไปรอบนอกอย่างต่อเนื่องนั้น ทำเอาไอ้บอดหลัวและลู่ฝานต่างพากันยืนอยู่ด้านหลังผู้อาวุโสใหญ่ ปล่อยให้ผู้อาวุโสใหญ่ใช้พลังแห่งโลกของตน เพื่อต้านทานแรงโจมตีจากลำแสงเหล่านั้น

“ใช่ ใกล้มากจริงๆด้วย แล้วตกลงว่าอยู่ที่ไหนกันแน่ล่ะ?”

ไอ้บอดหลัวขมวดคิ้วจนเป็นปมแน่น

ผู้อาวุโสใหญ่หัวเราะพลางกล่าว “ใต้หล้านี้ยังมีที่ใดที่นายมองไม่เห็นอีกหรือ? ไอ้บอดหลัว มาตรฐานนายถดถอยลงไปนี่!”

ไอ้บอดหลัวไม่มีอาการโกรธใดๆ ทั้งยังยิ้มและกล่าวว่า “ไม่ใช่เป็นที่มาตรฐานฉันถดถอยหรอก เป็นที่พลังภายในเขตแห่งความยุ่งเหยิงนี้มันยุ่งเหยิง ทั้งยังซับซ้อนเกินกว่าจะแยกแยะได้ พลังของฉัน เพียงเชี่ยวชาญการสังเกตดูฟ้าดินจากพลังเต๋า เต๋าที่ไม่ได้อยู่ในเงื่อนไขเช่นนี้ จะให้ฉันสังเกตดูอะไรได้”

ผู้อาวุโสใหญ่โบกมือพร้อมกล่าวว่า “ช่างเถิด ช่างเถิด จะหาเหตุผลอะไรกันนัก ไม่สามารถก็คือไม่สามารถ นี่เจ้าสำนักลู่ คุณรู้สึกถึงอะไรแปลกๆบ้างไหม?”

ผู้อาวุโสใหญ่หันมาทางลู่ฝานด้วยสีหน้าคล้ายเฝ้ารอบางสิ่ง

ลู่ฝานเอ่ยแบบเรียบ ๆว่า “รู้สึก? ไม่ได้รู้สึกถึงอะไรนี่ ทั้งสองคนกำลังพูดถึงเรื่องอะไรกันหรือ?”

ผู้อาวุโสใหญ่มองลู่ฝานด้วยแววตาสงสัย เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ได้เชื่อในคำพูดของลู่ฝาน

ไอ้บอดหลัวเงียบไป ส่วนลู่ฝานก็ไม่ได้พูดอะไรต่อให้มากความ

ที่จริงแล้วนั้น ลู่ฝานเองก็รู้สึกได้ถึงอะไรบางสิ่งเช่นกัน

ยิ่งมุ่งหน้าไปเท่าไหร่ ความรู้สึกนี้ก็ยิ่งชัดเจนมากขึ้นเรื่อย ๆ ราวกับมีอะไรบางอย่างในกายกำลังเริ่มลุกไหม้ขึ้นมา

หากลู่ฝานเดาไม่ผิด นี่คงเป็นพลังบ้านิรนาม

กล่าวอีกนัยหนึ่ง ที่แห่งนี้คงจะมีมรดกหรือไม่ก็ของล้ำค่าที่บ้านิรนามทิ้งไว้

มิฉะนั้น พลังในกายคงไม่พลุ่งพล่านได้ถึงขนาดนี้

เขาไม่ยอมปริปากมากความ เพียงเพราะลู่ฝานรู้สึกได้ถึงภัยอันตรายที่จะมาถึง

เขามั่นใจมากว่า เมื่อพบสิ่งนั้นแล้ว มีความเป็นไปได้สูงมาก ที่มันจะเป็นตอนที่เขา ผู้อาวุโสใหญ่และไอ้บอดหลัวชักสีหน้าใส่กันและกัน

ลู่ฝานกำลังครุ่นคิด ว่าจะทำอย่างไรดี

เขาอยากจะเห็นเหลือเกินว่ามันคืออะไร แต่ก็เกรงว่าความอยากรู้อยากเห็นนั้นจะทำร้ายตนเองจนถึงตาย

เป็นโชคมิใช่เคราะห์ เป็นเคราะห์จะหลบอย่างไรคงไม่พ้น ถ้าหากเป็นเคราะห์ภัยจริงๆ หนีไปแล้วมันจะมีประโยชน์อะไรกัน!

ลู่ฝานพึมพำกับตนเองในใจ

ในที่สุด เขาก็ตัดสินใจจะไปดูให้เห็นกับตา เพียงเพราะอยากส่งข่าวให้แก่ผู้อาวุโสใหญ่ ช่างเป็นการกระทำที่โง่เขลานัก

เขาต้องอาศัยช่วงเวลาที่เหมาะสม เพื่อหาโอกาสที่เหมาะเจาะ!

ตูม!

ทันใดนั้น ผู้อาวุโสใหญ่ที่กําลังนําทางอยู่ข้างหน้าก็ถูกลำแสงส่องวาบอันน่ากลัวทำให้ผวาตัวกลับมาทันที

พลังในกายพลันปั่นป่วน พื้นที่รอบ ๆ บิดเบี้ยว ไอ้บอดหลัวรีบเอ่ยถาม “เหลียงหลง ท่านเป็นอย่างไรบ้าง”

ผู้อาวุโสใหญ่มองเสื้อผ้าของตนแล้วเอื้อมมือไปปัดออกลวกๆ ฉับพลันก็มีควันขโมงของเถ้าถ่านลอยขึ้นมา

ผู้อาวุโสใหญ่ขมวดคิ้วแน่น ก่อนพูดจาฉะฉานว่า “อันตรายมาก โชคดีที่โลกใบเล็กของฉันแตกต่างจากผู้อื่น มิฉะนั้นเจ้าตัวเมื่อครู่คงมาเอาชีวิตพวกเราไปแล้ว”

ไอ้บอดหลัวเอ่ยถาม “แล้วจะยังเดินหน้าต่อไปได้ไหม”

ผู้อาวุโสใหญ่พยักหน้าว่า “ไม่น่าจะมีปัญหา พวกนายก็ระวังไว้หน่อย อย่าได้วิ่งออกไปไกลจากด้านหลังฉันเด็ดขาด พลังนี้มันแข็งแกร่งเกินไป!”

ไอ้บอดหลัวได้ยินเช่นนั้นก็ตามติดหลังผู้อาวุโสใหญ่โดยฉับพลันและกล่าวว่า “วางใจได้ หากจะตายก็เป็นนายที่ตายก่อนแน่นอน"

ร่างกายของลู่ฝานส่งเสียงแตกร้าวที่ชัดเจน ณ ขนะนี้ เขาใช้ไหวพริบในการลดเนื้อหนังมังสาลงเล็กน้อย มือบีบกระดูกและกลั้นลมหายใจ ผู้อาวุโสใหญ่เห็นเช่นนั้นก็แทบจะพูดไม่ออก

ชั่วขณะหนึ่งจึงเอ่ยว่า “พวกนายสองคน หากอยากรักษาชีวิตไว้ก็มีเพียงหนึ่งทาง”

ผู้อาวุโสใหญ่เช็ดเลือดออกแล้วกล่าวว่า “อย่าหาว่าสิ่งเหล่านี้ไร้ประโยชน์ เจ้าตัวดี ทั้งหมดเป็นแสงแห่งการหยุดยั้งฟ้าดินที่น่าหวาดกลัว ถ้าฉันอ่อนแอกว่านี้ พวกนายทุกคนคงสิ้นคมคาที่ในวันนี้แน่ ไอ้บอดหลัวรีบดูว่ามันอยู่ที่ไหนกันแน่”

ไอ้บอดหลัวจึงตอบว่า “นี่ยังสมารถให้ฉันดูได้อีกหรือ พวกคุณเองก็มองเห็นกันไม่ใช่หรืออย่างไร?”

พูดพลาง ไอ้บอดหลัวก็ชูมือไปข้างหน้า

ลู่ฝานกับผู้อาวุโสใหญ่ต่างเงยหน้าขึ้น และก็ต้องตกใจทันที

สิ่งที่เตะตาเข้าอย่างจังคือตำหนักแห่งหนึ่ง กระแสลมสีขาวควบแน่น ด้านบนยังมีดวงอาทิตย์และดวงจันทร์สีดําคดเคี้ยว

ตำหนักที่มีขนาดใหญ่ ความสูงเทียบเท่าลู่ฝานสามคนในวังนี้ แม้เพียงธรณีประตูพระตำหนักก็ไม่อาจเทียบ ราวกับเป็นเพียงมด ที่ถูกมองลงมาจากสิ่งปลูกสร้างของมนุษย์

หน้าประตูตำหนักมีรูปปั้นสัตว์เทพตั้งอยู่

ลำตัวเหมือนลม เท้าเหยียบสายอัสนี ตัวเหมือนม้าแต่ศีรษะเป็นมังกร หางเหมือนกระบี่คม มีดวงอาทิตย์สีดำในปาก

“ม้าเทียนหุย!”

เสียงกัดฟันของผู้อาวุโสใหญ่ดังเล็ดรอดออกมา

ดูเหมือนว่าเขาจะรู้จักรูปปั้นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์นี้ ไอ้บอดหลัวพูดอึกอักอยู่ข้าง ๆ “คาดไม่ถึงเลย ที่แท้ในเขตแห่งความยุ่งเหยิง กลับมีตำหนักแบบนี้อยู่ นี่ไม่ใช่การสร้างโดยมนุษย์ธรรมดา ทูตแห่งเทพ ไม่ผิดแน่ ต้องสร้างโดยทูตแห่งเทพแน่ ๆ

ม้าเทียนหุยเหรอ? นั่นมันคือสถานที่ที่ทูตแห่งเทพหุยหยุนไอ้หมอนั่นเหรอ รู้สึกว่าเขาจะอาศัยอยู่ที่นี่นะ”

ผู้อาวุโสใหญ่หัวเราะเยาะเย้ยว่า “ทูตแห่งเทพ เป็นเจ้าทูตแห่งเทพน่าตายอีกแล้ว ตอนแกยังมีชีวิตอยู่ ฉันสังหารแกด้วยมือตนเองไม่ได้ บัดนี้ฉันจะทำลายตำหนักของแกเสีย!”

ครั้นพูดจบ ผู้อาวุโสใหญ่เตรียมกางมือพิฆาตออก ทว่าไอ้บอดหลัวที่อยู่ข้าง ๆ ก็ยั้งมือเขาไว้แล้วกล่าวว่า “ช้าก่อน บางทีอาจจะมีสิ่งของในนั้น พวกเราเข้าไปดูก่อนแล้วค่อยว่ากันเถอะ”

ฝ่ายผู้อาวุโสใหญ่ก็มีสีหน้าโกรธ จึงพยายามยื้อยุดฉุดดึงกับไอ้บอดหลัวไปมา

ด้านลู่ฝานก็เหาะขึ้นที่สูงอย่างช้า ๆ มองจากที่ไกล ๆ ผ่านช่องว่างในตำหนักกระแสลมนี้ ลู่ฝานเห็นทันทีว่าด้านหลังตำหนักนี้ดูเหมือนจะมีอีกตำหนักหนึ่งอยู่

ตกลงที่แห่งนี้มันคือที่แบบใดกัน!

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า