“พชิรา เธอเปิดประตู” สาริศาตบประตูและตะโกนเรียก “เธอฟังฉันพูดให้จบก่อน แม่ป่วยอาการสาหัสจริง ๆ เธอเห็นความตายแล้วไม่ช่วยไม่ได้นะ”
ถึงแม้ว่าจะไม่มีการตอบกลับ แต่ว่าสาริศายังคงกดกริ่งอย่างไม่ย่อท้อ วันนี้เธอจะต้องพาพชิราไปโรงพยาบาลให้ได้ นี่เป็นความหวังเดียวของกันยาแล้ว
“พชิรา เธอไปโรงพยาบาลกับฉัน ไปดูว่าฉันพูดโกหกหรือเปล่า เธอออกมาก่อน……”
พชิราเวลานี้นั่งอยู่บนเตียง ฟังเสียงสาริศาที่ดังขึ้นจากด้านนอกเป็นระยะ ๆ เธอรู้สึกรำคาญเป็นอย่างยิ่ง
จึงเรียกคนรับใช้ด้วยความโกรธ “ไล่ผู้หญิงที่อยู่ด้านนอกออกไป ถ้าฉันยังได้ยินเธอเอะอะโวยวายอยู่ด้านนอกอีก เธอก็ไม่ต้องทำงานที่นี่แล้ว!”
“ค่ะ คุณหนู” เมื่อรับคำแล้ว คนรับใช้รีบวิ่งลงไปจากตึก
“พชิรา เธอเปิดประตู ฉันต้องการจะคุยกับเธอ” สาริศายังคงตะโกน ฉับพลันก็เห็นคนเปิดประตูออกมา
เห็นประตูเปิดออกมา สาริศาก็พุ่งตัวจะเข้าไป แต่กลับถูกคนรับใช้ที่อยู่ตรงหน้าขวางไว้ “คุณผู้หญิงคะ คุณอย่าได้ตะโกนอีกเลย คุณรีบกลับไปเถอะ”
“คุณน้า ขอร้องล่ะ คุณน้าให้ฉันเข้าไปเถอะ ฉันมีเรื่องสำคัญที่ต้องปรึกษากับพชิรา” น้ำเสียงสาริศากล่าวกับคนรับใช้อย่างลนลาน
“แต่ว่าคุณหนูของพวกเราได้บอกไว้แล้ว ถ้าหากว่าคุณยังไม่ไป ฉันคงต้องถูกเธอไล่ออกแน่ ๆ คุณผู้หญิง คุณอย่าทำให้ฉันลำบากใจเลย ถือว่าฉันขอร้องนะ ไม่อย่างนั้นฉันคงต้องเรียกรปภ. แล้ว”
เห็นคุณน้าท่าทางที่ลำบากใจ สาริศารู้สึกสงสาร เธอจะทำให้คนอื่นต้องตกงานเพราะตัวเองไม่ได้ จึงค่อย ๆ เดินถอยออกไปทางประตู สาริศาจึงหันหลังจากไปอย่างจนปัญญา
ยืนอยู่บนหน้าต่างในห้องนอนของตัวเอง พชิรามองดูสาริศาที่ในสุดก็จากไป เธอใช้เล็บมือทิ่มแทงฝ่ามือตัวเองอย่างแรง สีหน้าของพชิราเต็มไปด้วยดุร้าย
สาริศา ทำไมเธอถึงขัดขวางทางของฉันตลอด ตอนนี้เธอยังกล้ามาบอกว่าฉันไม่ใช่ลูกสาวของตระกูลนิธิธราสกุล เธอนี่ช่างกล้ามาก ฉันจะต้องไม่ปล่อยเธอไปแน่!
อันที่จริงในใจของพชิรานั้นได้เชื่อในสิ่งที่สาริศาพูดแล้ว แต่เพราะเหตุนี้ เธอถึงได้ยิ่งไม่พอใจและเคียดแค้นสาริศา ถ้าหากว่าไม่ใช่เธอ คงไม่มีใครรู้เรื่องนี้ตลอดไป และเธอก็จะลูกสาวของตระกูลนิธิธราสกุลตลอดไป
ยังมีกันยาอีก ตอนนี้เธอเข้าใจแล้วว่าทำไมกันยาถึงได้ดีกับตัวเองตั้งแต่ยังเป็นเด็ก ถึงแม้ว่าตัวเองจะเย็นชากับเธอก็ตาม เธอก็จะไม่เป็นเหมือนคนรับใช้คนอื่น ที่กลัวจนไม่กล้าเข้าใกล้ตัวเอง แต่กลับยังคงคอยทักทายถามไถ่เธอ
แต่นี่กลับยิ่งทำให้เธอรำคาญคนคนนี้ เธอคิดว่าเธอเป็นใคร มีสิทธิ์อะไรมาใกล้ชิดกับตัวเองเช่นนี้ ก็แค่แม่นมคนหนึ่ง ต่อให้ตอนเด็ก ๆ จะเคยช่วยเหลือตัวเองแล้วยังไง สาเหตุที่คนของตระกูลนิธิธราสกุลดีกับเธอเช่นนี้ ก็เพราะเธอเคยช่วยเหลือตัวเองไว้หรอกเหรอ พูดไปพูดมา กันยายังต้องขอบคุณตัวเองด้วยซ้ำ
ตอนนี้หลังจากรู้ว่าเธออาจจะเป็นแม่แท้ ๆ ของตัวเอง ก่อนหน้านี้ที่พชิราเคยมีความรำคาญได้แปรเปลี่ยนเป็นความเกลียดชัง เธอเกลียดกันยา! ในเมื่อตอนนั้นอยากให้ตัวเองมีชีวิตที่ดี ทำไมถึงไม่ปิดความลับนี้ให้เน่าเปื่อยอยู่ในจิตใจของตัวเอง ทำไมถึงได้บอกเรื่องนี้กับสาริศา!
ฮึ่ม มะเร็งเม็ดเลือดขาว? พชิรานึกถึงคำพูดของสาริศา
เมื่อได้ยินเสียงเคลื่อนไหวที่หน้าประตู ธนพัตก็รู้สึกตัวแล้วหันมามองสาริศา จากนั้นรีบลุกขึ้นทันใด และธนพัตก็มองสาริศาโดยไม่รู้จะเอ่ยปากพูดอะไร
ความจริงวันนี้หลังจากที่สาริศาวิ่งออกไปแล้ว ธนพัตก็เริ่มใจเย็นสงบลง ในใจเริ่มรู้สึกเสียใจกับการกระทำของตัวเอง รู้สึกว่าคำพูดที่ตัวเองพูดกับสาริศานั้นค่อนข้างรุนแรง
ไม่กล้าที่จะโทรหาสาริศาก่อน ธนพัตจึงตั้งใจกลับบ้านโดยเร็ว แต่คิดไม่ถึงว่าสาริศาจะกลับบ้านมาดึกขนาดนี้
เห็นสาริศาที่เหมือนจะไม่มองมาตัวเอง และเดินตรงขึ้นไปยังห้องนอน ธนพัตจึงรีบเข้าไปขวางทันที “ดึกขนาดนี้แล้วคุณคงยังไม่ได้ทานข้าวสินะ ผมให้คุณป้าต้มซุปไว้ให้ คุณทานสักหน่อยสิ”
เห็นธนพัตปฏิบัติดีกับตัวเองก่อน สาริศาก็จะทำเป็นเมินเฉยมองไม่เห็นธนพัตไม่ได้อีก จึงทำได้แต่พยักหน้าแล้วตอบว่า “ค่ะ”
เห็นสาริศามีปฏิกิริยาตอบกลับ ธนพัตจึงเผยรอยยิ้มออกมา “อย่างนั้นคุณรออยูที่บนโต๊ะก่อนนะ ผมจะไปตักมาให้คุณสักถ้วย” พูดจบธนพัตก็เข้าไปในห้องครัว
เมื่อเดินไปที่นั่งลงที่ข้างโต๊ะอาหาร สาริศาก็แอบตัดสินในใจว่าเธอจะต้องคุยกับธนพัตให้เข้าใจกระจ่างในวันนี้
สักพัก ธนพัตก็ค่อย ๆ ยกซุบมาวางไว้ที่ด้านหน้าของสาริศา แล้วตัวเองก็นั่งลงตรงหน้าของเธอ “รีบทานเถอะ ผมได้ยินคุณน้าบอกว่าซุปนี้ช่วยอุ่นกระเพาะ”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: หวานเย็น กรุ่นใจ
สวย แต่ โง่ดักดาน แล้วไงคุณนางเอก...
ทำไมนางเอกต้องเป็นควายตลอด...