องค์ชาย(ไม่)เอาถ่าน นิยาย บท 207

ฝนดีรู้กาละ ยามวสันต์จึงงอกงาม

เรียบง่าย ไม่ซับซ้อนและเข้าใจง่าย

ยังไม่ต้องพูดถึงกลอนวรรคถัดไปจะเป็นอย่างไร แต่เพียงแค่สองวรรคแรก แม้แต่ชาวบ้านธรรมดาที่ไม่รู้หนังสือก็สามารถท่องจำได้อย่างง่ายดายและยังเข้าถึงอารมณ์ได้อีกด้วย

เพราะกลอนสองวรรคนี้อ่านง่ายและติดปาก

เสิ่นคั่วเบิกกว้างด้วยความประหลาดใจ

“ช่างเป็น ‘ฝนดีรู้กาละ’ เสียจริง...”

ดวงตางามของหลี่เหวินจวินฉายแววตาลึกซึ้งและสั่นไหวเล็กน้อย

อีกหนึ่งประโยคดีๆ ที่จะคงอยู่ไปชั่วกาลนาน

แค่สองวรรคนี้ก็ถูกกำหนดไว้แล้วว่าจะคงอยู่ไปชั่วกาลนาน

เพราะจำง่ายและยังแฝงไปด้วยกลิ่นอายของความสง่างาม แม้แต่คนธรรมดาก็สามารถเข้าใจและสัมผัสได้ ไม่ว่าใครก็ตามก็สามารถท่องกลอนที่ยอดเยี่ยมบทนี้ได้ในวันฝนตก

เรียบง่าย แต่ไม่ธรรมดา

ช่างมีความสามารถที่ล้ำลึกจริงๆ

สมกับที่เป็นน้องหก...

ในใจของหลี่เหวินจวินกำลังสับสนวุ่นวาย กลอนของหลี่จุ่นได้เปิดโลกแห่งกลอนกวีอันเป็นเอกลักษณ์ต่อหน้านางอย่างสมบูรณ์

นี่ถึงจะเป็นบทกวีที่แท้จริง

ยิ่งใหญ่

ไพเราะ

สง่างาม

เรียบง่าย

ทั้งง่ายทั้งซับซ้อน

นั่นก็คือกวี

นี่ถึงเป็นกวี

ในเวลานี้ หลี่เหวินจวินรู้สึกว่าตนมีความเข้าใจเกี่ยวกับกลอนกวีเพิ่มขึ้นอีกขั้น นางเข้าใจได้อย่างลึกซึ้ง

ผู้คนในที่นั้นต่างมีสีหน้าแตกต่างกันไป

องค์ชายเจ็ดหลี่จิ้นวัยเยาว์มองดูพี่ชายแปลกหน้าของตนด้วยความตกตะลึง

เขาไม่ค่อยรู้จักและไปมาหาสู่กับหลี่จุ่นมากนัก รู้เพียงว่าเขาเขียนกลอนกวีเก่งมากและเคยเห็นเขาเขียนกลอนในงานเลี้ยงของเหล่าขุนนาง แต่เขารู้สึกว่าสิ่งที่ทำให้เขาประทับใจยิ่งกว่านั้นคือความหล่อเหลาของท่านพี่ผู้ไร้มารดาคนนี้

เขารู้สึกว่าพี่ชายแปลกหน้าคนนี้หล่อเหลามาก สามารถพูดได้ว่ารูปงามและมีสง่าราศี แต่หลี่จิ้นรู้สึกว่าความหล่อเหลานั้นเหมาะสมกับท่านพี่คนนี้ของเขามากกว่า

“ฝนดีรู้กาละ ยามวสันต์จึงงอกงาม...” หลี่จิ้นรู้สึกว่ากลอนนี้ธรรมดามาก แต่ก็รู้สึกว่าไม่ค่อยง่าย เขาก็บอกไม่ถูก เขามองดูหลี่จุ่นอย่างตกตะลึงและรู้สึกว่าหลี่จุ่นในเวลานี้หล่อเหลายิ่งขึ้นไปอีก

หลี่เซียงจู๋ก็รู้สึกว่าหลี่จุ่นหล่อเหลามากเช่นกัน

ในเวลานี้ปากเล็กของนางอ้าปากค้างเล็กน้อยและมองท่านพี่ผู้ไม่เป็นที่โปรดโปรนมาตั้งแต่เด็กของตนอย่างเหม่อลอยเล็กน้อย นางรู้สึกว่าหลี่จุ่นเก่งมาก ทันใดนั้นนางก็พลันรู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อยหรือจะว่ารู้สึกผิดก็ได้ที่เคยเยาะเย้ยพี่ชายคนนี้

หลี่เซียงจู๋ไม่สามารถอธิบายความรู้สึกในใจได้ เพียงรู้สึกว่าหลี่จุ่นเก่งมากและเขียนกลอนกวีเก่งมากๆ

หลี่จุ่นค่อยๆ เบิกตากว้างขึ้น แล้วท่องกลอนต่อว่า “คล้อยลมมายามค่ำ ชุ่มฉ่ำไร้ซุ่มเสียง”

เรียบง่าย แต่ลึกซึ้ง

ใช้คำได้ไพเราะและเหมาะสมมาก

นี่เป็นกวี ‘รับฝนยามวสันต์ราตรี’ ของตู้ฝู่ เดิมประโยคสุดท้ายของกวีนี้คือบานสะพรั่งทั่วเมืองจิ่นกวน ซึ่งไม่ตรงกับชื่อสถานที่ บังเอิญในชาตินี้มีเมืองดอกไม้ชื่อจิ่นอานพอดี ด้วยเหตุนี้ เขาจึงแก้ไขเล็กน้อยโดยการเปลี่ยนเป็น ‘จิ่นอาน’

ช่างบังเอิญและเหมาะสม

หลี่จุ่นรู้สึกว่าแม้แต่สวรรค์ก็กำลังช่วยตนให้แสดงบทกวีต้นฉบับออกมาได้อย่างสมบูรณ์แบบ

บทกวีสัมผัส สี่วรรคแปดประโยค แทบจะบรรยายถึงฝนตกในฤดูใบไม้ผลิได้อย่างครบถ้วน

บทกวีนิรันดร์ของปราชญ์กวีตู้ฝู่ แสดงให้เห็นถึงพลังแห่งบทกวีอย่างแท้จริง

บรรยากาศเงียบกริบ

หลี่เจิ้งมองหลี่จุ่นด้วยสายตาที่แฝงด้วยความหมายลึกซึ้ง คนอื่นๆ ต่างกำลังดื่มด่ำบทกวีนี้อย่างเงียบๆ แม้แต่องค์รัชทายาทเองก็ยังแอบเพลิดเพลินกับบทกวีนี้ด้วย

ในเวลานี้มีเพียงหลี่จุ่นและหลี่เจิ้งที่ยังมีสติอยู่

สองพ่อลูกมองหน้ากันจากระยะไกล

หลี่จุ่นยิ้มแย้ม แต่ไม่แสดงท่าทางเกินงาม

หลี่เจิ้งก็มองเขาด้วยสีหน้าเฉยเมยเช่นกัน

พวกเขาต่างต้องการรู้ความคิดของอีกฝ่าย แต่ก็ดูไม่ออก

“สมกับเป็นฮ่องเต้จริงๆ” หลี่จุ่นแอบพูดในใจ

หากจะพูดว่านี่เป็นการหักหน้ากันระหว่างเขาและองค์รัชทายาท แต่พูดว่าเป็นการเปิดฉากระหว่างเขากับเสด็จพ่อเผียนอีจะเหมาะสมกว่า

นำแผนการอันชั่วร้ายนี้ออกมาเปิดเผยให้ทุกคนได้เห็น

“องค์รัชทายาท เป็นอย่างไรบ้าง ข้ามีคุณสมบัติพอที่จะสนิทกันกับท่านได้หรือไม่”

ทันใดนั้นเสียงหัวเราะของหลี่จุ่นก็ทำลายบรรยากาศและดึงดูดความสนใจขององค์รัชทายาทกลับมาทันที

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: องค์ชาย(ไม่)เอาถ่าน