องค์ชาย(ไม่)เอาถ่าน นิยาย บท 637

เมืองเฟิงหั่วกลายเป็นว่างเปล่าไปเสียแล้ว

เพียงช่วงเวลาเช้าตรู่ ผู้คนต่างก็พากันแยกย้ายไปตามทางของตน

ไม่นานภายในเมืองก็เหลือเพียงจี้จงชิงและทหารหน่วยมือระเบิดทั้งเจ็ดร้อยนายของหยางเฟิง รวมถึงทหารอีกเกือบร้อยนายที่เข้ามาเสริมทัพ

แน่นอนว่าเฟิงเฉวี่ยนอ๋องเองก็อยู่ในเมืองเฟิงหั่วเช่นเดียวกัน

เขาไร้ซึ่งที่ไป ทัวทัวก็ไม่พาเขาไป หรือถึงแม้ทัวทัวอยากพาตัวเขาไป เขาก็ไม่กล้าไปอยู่ดี

หากอยู่ในชายแดนเหนือ หลี่จุ่นนั้นมีอำนาจเด็ดขาด แต่หากไปที่เมืองหลวงของราชวงศ์อู่ เกรงว่าหลี่จุ่นคงไร้ซึ่งอำนาจในการตัดสินใจนั้น

ด้วยเหตุนี้ เขาจึงไม่กล้าไป ผู้เคยเป็นราชาของดินแดนศัตรู หากไปแล้วคงไม่มีทางได้กลับมาอีก

เขาจึงเลือกที่จะอยู่ในเมืองเฟิงหั่วต่อไป

“เจ้าหมอนี่คิดทำการสิ่งใดกันแน่ ?”

จี้จงชิงยืนอยู่บนกำแพงเมือง คิ้วของเขาขมวดขึ้นพลางมองไปยังทัพใหญ่ที่ทางเหนือแล้วพึมพำกับตนเอง

สีหน้านั้นเห็นได้ชัดว่าไม่พอใจสักเท่าไรนัก

หลี่จุ่นนำทหารม้าสองพันนายและทหารหน่วยมือระเบิดสามร้อยนายตามทัพใหญ่ของหลินชองและเถี่ยกู่ไปทางเหนือแล้วเช่นกัน แต่ชายหนุ่มจะไปทำอะไรกลับมิได้เผยให้เขารู้เลยสักนิด

เรื่องนี้ทำให้จี้จงชิงนึกโมโหอยู่ไม่น้อย

ยิ่งเมื่อนึกถึงสิ่งที่เจ้าเด็กนั่นบอกตนเองก็ยิ่งโกรธขึ้นมายิ่งกว่าเดิม

มหาอัครเสนาบดีรู้สึกได้ว่าตนเองเป็นเหมือนหุ่นเชิดที่ถูกเจ้าเด็กแสบนี่บงการ

ทว่า ตอนนี้ก็ไม่มีเวลาให้มาคิดเรื่องพวกนี้แล้ว

เขาจึงทำได้เพียงทอดถอนใจ แล้วเรียกหยางเฟิงมากำชับ

“ผู้บังคับกองพันหยาง หาทหารฝีมือดีสักร้อยคน คอยเฝ้าประตูเมืองและป้อมปราการที่กำแพงเมืองอย่างเคร่งครัด ข้าขอเพียงสิ่งเดียว ต้องทำให้เมืองเฟิงหั่วมองดูแล้วไร้ซึ่งผิดปกติ บ้านเมืองยังคงดำเนินไปตามเดิมเหมือนดั่งวันวาน”

เมื่อฟังแล้ว หยางเฟิงจึงนิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง

แม่ทัพหนุ่มไม่ค่อยเข้าใจนักว่าเหตุใดจึงต้องทำเช่นนี้ แต่ก็รีบรับคำแล้วดำเนินการทันที

ครั้นเมื่อจี้จงชิงออกคำสั่งเสร็จ ก็กลับไปยังโรงเตี๊ยมที่ตนเองพัก จากนั้นจึงเริ่มเก็บข้าวของแล้วตรงไปที่ค่ายทหารทันที

ตอนนี้ทั้งค่ายนั้นว่างเปล่า เหลือไว้เพียงกระโจมก็เท่านั้น

แต่ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ เจ้าเด็กแสบนั่นก็ยังขอให้ตนเองไปพักอยู่ในกระโจมจอมทัพให้ได้

หลินชิงพาทัพใหญ่นับหมื่นนายตามทัพห้าหมื่นนายของเถี่ยกู่แห่งแคว้นเฟิงเฉวี่ยนไปยังทางเหนือ

ระหว่างทางเถี่ยกู่กับหลินชิงเดินทางออกไปพร้อมกัน เบื้องหน้ามีเพียงทหารสอดแนมของค่ายทัพหน้าสองคนที่ไปสำรวจเส้นทาง

โชคดีที่หนีกู่ทำหน้าที่เป็นล่ามแปลภาษา ด้วยเหตุนี้ทั้งสองคนจึงพูดคุยกันได้เข้าใจดี

ทั้งสองต่างก็เกรงใจกันเป็นอย่างมาก

ฝ่ายเถี่ยกู่นั้นเป็นเพราะเห็นว่าอีกฝ่ายเป็นกุนซือแห่งกองทัพเจิ้นเป่ย ส่วนตนเองและพรรคพวกนั้นเพราะเคยเป็นทหารฝ่ายข้าศึกที่ถูกจับมาก่อน จึงคิดว่าตนเองมียศต่ำกว่าอีกฝ่าย

ส่วนหลินชิงนั้นเกรงใจเพราะอีกฝ่ายมีกำลังพลเพียงหนึ่งหมื่นนาย ขณะที่อีกฝ่ายมีจำนวนคนถึงห้าหมื่น...

ไม่ว่าอย่างไรก็เอาชนะไม่ได้เป็นแน่ เขาจึงทำได้เพียงต้องเกรงใจอ่อนน้อมต่ออีกฝ่าย

เจิ้นเป่ยอ๋องผู้เคยเป็นเสนาธิการทหารฝ่ายซ้าย กุนซือที่บัดนี้เหลือเพียงชื่อหากแต่ไร้ผลงานของกองทัพเจิ้นเป่ย ก็นับว่าเป็นคนที่รู้จักปรับตัว

ทัพใหญ่มุ่งสู่ทางเหนืออย่างยิ่งใหญ่ ขณะที่ทัพใหญ่ของหลี่จุ่นนั่นเดินตามอยู่ด้านหลัง

หลินชิงหันไปมองอยู่ครู่หนึ่งก็เห็นว่ามีทหารม้าส่งสารขี่เข้ามาแล้วตะโกนด้วยเสียงอันดัง

“จอมทัพมีคำสั่ง ให้ท่านกุนซือและแม่ทัพเถี่ยกู่เดินทางไปทางเหนือต่อไป ตั้งหลักที่ชายแดนเทือกเขาเฮยสง แล้วรอการถ่ายทอดคำสั่งจากหน่วยสอดแนมอีกที เตรียมพร้อมติดต่อกับทัพหน่วยสอดแนมทุกเมื่อ !”

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: องค์ชาย(ไม่)เอาถ่าน