องค์ชาย(ไม่)เอาถ่าน นิยาย บท 97

เมื่อรู้สึกถึงน้ำหนักที่อยู่บนร่างกาย อีกทั้งสัมผัสที่นุ่มนวล และเมื่อลมหายใจอันอบอุ่นของโหลวฮวนฮวนกระทบเข้ากับใบหน้ามากยิ่งขึ้น จิตใจหลี่จุ่นจึงฟุ้งซ่านอย่างช่วยไม่ได้

ไม่มีอะไรจะเสีย!

เขาหลับตาลงทันที ภายในใจรู้สึกคาดหวังและเขินอายเล็กน้อย

นี่เป็นครั้งแรกที่ตนเองถูกคนอื่นจู่โจมงั้นเหรอ

ตื่นเต้นโว้ย!

ทว่า หลี่จุ่นรออยู่ครู่หนึ่งและรู้สึกว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น จึงค่อย ๆ ลืมตาขึ้น

ถึงได้รู้ว่าตรงหน้าไม่มีโหลฮวนฮวนอยู่แล้ว

ไม่มีใครสักคน!

“ให้ตายเถอะ ยัยบ้าขี้หลอกลวง! แบบนี้มันหลอกให้ดีใจนี่หว่า”

หลี่จุ่นพึมพำอย่างไม่พอใจทันที

“ฮ่าฮ่าฮ่า ไอ้คนฉวยโอกาสเอ๊ย”

ภายใต้ท้องฟ้ายามค่ำคืน

โหลวฮวนฮวนยืนอยู่บนหลังคา ได้ยินเสียงด่าของหลี่จุ่น จู่ ๆ รอยยิ้มที่สดใสผิดปกติก็ปรากฏขึ้น

ทันใดนั้นร่างก็หายวับไปในความมืด

วันรุ่งขึ้นหลี่จุ่นไม่เห็นแม้แต่เงาของโหลวฮวนฮวน พอคิดได้ว่านางอาจจะไปตามแผนที่แล้ว จึงไม่ได้สนใจมันอีกต่อไป

ทว่าการหาแผนที่มันง่ายขนาดนั้นเลยเหรอ

มันเป็นไปไม่ได้!

มีสิ่งหนึ่งที่หลี่จุ่นไม่ได้บอก นั่นก็คือมีคำเตือนที่ชัดเจนบนคัมภีร์หนังแพะว่า ในอุโมงค์นั้นมีกลไกที่ซับซ้อน ซึ่งไม่ง่ายที่จะแก้ไข

ดังนั้น แม้ว่าหญิงสาวคนนั้นจะพบห้องลับในอุโมงค์ใต้ดินแล้ว ก็ยังจะต้องกลับมาหาเขาแน่นอน

เหอะเหอะเหอะ~

กิจการเต้าหู้นับวันก็ยิ่งเฟื่องฟูขึ้นทุกวัน ผู้คนต่างก็ให้ความสำคัญกับเรื่องอาหารการกิน เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัย และการคมนาคมมากที่สุด ทุกวันนี้เต้าหู้กลายเป็นประเด็นที่ใหญ่โต

แม้แต่การประชุมขุนนาง เวลาเจอหน้ากันประโยคแรกที่พูดถึงกันก็คือ ‘วันนี้ท่านอยากกินเต้าหู้ไหม’

ช่วงนี้อาหารที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในพระราชวังก็คือเต้าหู้เป็นอย่างแน่แท้ โดยเฉพาะฮ่องเต้หลี่เจิ้งแม้แต่น้ำซุปที่ดื่มยังเป็นน้ำเต้าหู้กับน้ำซุปเต้าหู้เลย

ถ้าวันไหนไม่ได้กินเต้าหู้จะรู้สึกไม่มีความสุข

ถึงขนาดที่วิธีการรับประทานเต้าหู้ที่ยอดนิยมในเมืองหลวงก็ถูกนำมาใช้ในพระราชวัง ทุก ๆ วันหลี่เจิ้งสั่งให้คนซื้อเต้าหู้แห้งมาจำนวนมาก และพ่อครัวในห้องพระเครื่องต้นก็คิดค้นอย่างสุดความสามารถเพื่อทำเป็นอาหารอันโอชะหลากหลายประเภท

อาหารสิบอย่างบนโต๊ะเสวยพระกระยาหารของฮ่องเต้ อย่างน้อยห้าชนิดต้องเป็นอาหารที่ทำจากเต้าหู้หรือเต้าหู้แห้ง

“ไม่รู้ว่าจ้าวเฟยเอ๋อร์คิดค้นอาหารนี้ได้อย่างไร เป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติและประชาชนจริง ๆ”

ตอนกลางวัน หลี่เจิ้งเสวยพระกระยาหาร พลางถอนหายใจให้กับหวังเหลียนที่อยู่ข้าง ๆ

นี่เป็นการบอกโดยนัยว่าฮ่องเต้กำลังจับจ้องเขาอยู่

“รับด้วยเกล้า ฝ่าบาท” หวังเหลียนรับคำสั่งทันที

จู่ ๆ หวังเหลียนก็นึกอะไรบางอย่างได้ ก่อนจะพูดทันทีว่า “ใช่แล้ว ฝ่าบาท เมื่อสักครู่นี้อัครมหาเสนาบดีหวังให้คนมาส่งต้นฉบับหนังสือหนึ่งตั้ง ให้กระหม่อมมอบให้ฝ่าบาท”

“อ้อ”

หลี่เจิ้งหยุดเสวยแล้ววางตะเกียบลงทันที หันมาสนใจสิ่งตรงหน้า

“เอามาสิ เมื่อสองวันก่อนอัครมหาเสนาบดีหวังบอกว่าลูกสาวของเขาต้องการขอให้ราชวิทยาลัยช่วยตีพิมพ์นิทานพื้นบ้านเล่มหนึ่ง บอกว่าเพื่อหลีกเลี่ยงข้อสงสัย จึงให้ข้าตรวจสอบก่อน ดูแล้วน่าจะเป็นเรื่องนี้ นิทานพื้นบ้านที่ลูกสาวหวังเซียงอยากจะตีพิมพ์ ข้าลองดูหน่อยสิว่าเป็นเช่นไร”

“ฝ่าบาท!”

หวังเหลียนหยิบต้นฉบับหนึ่งตั้งที่ประกบด้วยไม้ไผ่จากแขนเสื้อทันที ก่อนจะมอบให้หลี่เจิ้ง

หลี่เจิ้งหยิบขึ้นมาอ่านทันที

มองเพียงครู่เดียว ก็พูดอย่างประหลาดใจ “ตัวอักษรสละสลวยมาก ผอมเพรียว แต่ดูเหมือนว่าจะเป็นลายมือของผู้ชาย เขียนโดย หลู่ซู่เหริน ใครกัน”

หลี่จุ่นใช้รูปแบบอักษรโซ่วจินในการเขียน

หลี่เจิ้งอ่านออกเสียง “ตอนที่หนึ่ง รากฐานศักดิ์สิทธิ์ฟูมฟักครรภ์สมุฏฐานเดิมแตกออก จิตยึดมั่นเกิดอภิธรรม...ผานกู่เบิกฟ้า สามราชากู้โลก ห้าจักรพรรดิผู้กำหนดกฎเกณฑ์ จากนั้นโลกก็แบ่งออกเป็นสี่ทวีป...”

ขณะที่หลี่เจิ้งอ่าน เสียงก็ค่อย ๆ เบาลง

จากนั้นเสียงของเขาก็เงียบหายไปโดยสิ้นเชิง สีหน้าพลันค่อย ๆ จริงจัง จนลืมเสวยและจิตใจก็ค่อย ๆ เข้าสู่ความเงียบงัน

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: องค์ชาย(ไม่)เอาถ่าน