“ไม่ทราบเหมือนกันพ่ะย่ะค่ะ จู่ๆ ก็เกิดเหตุเพลิงไหม้พร้อมกันในหลายพื้นที่”
เจ้าหน้าพูดด้วยเสียงเคร่งเครียด
“จู่ๆ ก็เกิดเหตุเพลิงไหม้พร้อมกันในหลายพื้นที่ น่าจะเป็นเพราอากาศที่แห้งแล้งพ่ะย่ะค่ะ”
“อากาศแห้งอย่างนั้นหรือ?”
ฉินอวี่ยิ้มเย็น เขาไม่เชื่อเรื่องอากาศแน่นอน ต้องมีคนลอบวางเพลิงไม่ผิดแน่
แต่ไม่ต้องคิดก็รู้ได้ทันทีว่าต้องเป็นคนที่คอยจับตาเมืองเสิ่นอยู่
“ผู้พิพากษาอยู่ที่ใด เชิญผู้พิพากษามาที่นี่!”
ฉินอวี่สั่ง
เจ้าหน้าที่ตกใจและรีบเรียกผู้พิพากษา ในขณะที่ฉินอวี่กำลังนั่งรอข่าว
หลังจากนั้นไม่นาน ชายสูงวัยคนหนึ่งอายุประมาณห้าสิบหกสิบปี ก็มาเข้าเฝ้าด้วยสีหน้ากระอักกระอ่วนและพูดอย่างเคารพ
“ท่านอ๋องอวี่ ต้องการพบข้าหรือ?”
“เรื่องเหตุเพลิงไหม้เกิดขึ้นได้อย่างไร? เจ้าส่งคนไปช่วยดับไฟแล้วหรือไม่?” ฉินอวี่ถามทันที
“ส่งคนไฟช่วยดับไฟแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ผู้พิพากษาปาดเหงื่อที่หน้าผาก
“แต่ส่งคนไปช่วยสามสี่กลุ่ม แต่มีเหตุเพลิงไหม้เกิดขึ้นหลายจุดมากเกินไป ทำให้ควบคุมได้ยากพ่ะย่ะค่ะ”
“มีใครฉวยโอกาสนี้สร้างปัญหาหรือเปล่า?” ฉินอวี่เหล่ตาถาม
“ไม่มีพ่ะย่ะค่ะ”
ผู้พิพากษาส่ายหน้า
หลังจากที่ฉินอวี่คิดอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็พูดเสียงต่ำว่า
“ก่อนอื่นเจ้าส่งคนไปช่วยดับไฟให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ข้าจะส่งทหารบางส่วนไปช่วยเจ้าด้วย”
ผู้พิพากษารู้สึกยินดีมากเมื่อได้ยินดังนั้น “ขอบพระทัยอ๋องเหยียนสำหรับการสนับสนุนของท่าน!”
พูดจบเขาก็ไปจัดการตามที่สั่ง
ฉินอวี่ทำตามที่เขาให้สัญญาไว้ เขาระดมคนกว่าพันคนไปช่วยดับไฟ ในเวลาเดียวกันเพื่อความปลอดภัย เขาก็ระดมคนกว่าพันคนคอยรักษาความสงบในเมือง
เขารู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ ราวกับมีคนวางแผน เขาจึงระมัดระวังเป็นพิเศษ
เมื่อทุกอย่างจัดการเรียบร้อย เขาถึงได้นั่งจิบชาอย่างสบายใจ
ในเวลานี้ มีคนวิ่งหน้าตาตื่นมาแต่ไกล
คนสองคนวิ่งเข้ามาด้วยความประหม่า คุกเข่าลงกับพื้นและรายงานด้วยน้ำเสียงร้อนรน
“ท่านอ๋อง แย่แล้วพ่ะย่ะค่ะ โกดังเก็บเสบียงของพวกเราถูกไฟไหม้! อีกทั้งมีคนขโมยเสบียงไปด้วยพ่ะย่ะค่ะ!”
“ว่าอย่างไรนะ?”
ฉินอวี่มีสีหน้าตกใจ เขาลุกขึ้นมาในทันที “เจ้าพูดว่าอย่างไรนะ?”
ชายทั้งสองตัวสั่นด้วยความกลัวและเล่าเหตุการณ์อย่างละเอียด
หลังจากได้ยินดังนั้น ฉินอวี่พลันโกรธเกรี้ยวและด่าทออย่างรุนแรง
“บ้าจริง ต้องมีคนจงใจวางเพลิงนั่นแน่ๆ ไปตรวจสอบให้ละเอียดได้หรือไม่?”
“ยังไม่...” ชายทั้งสองคนก้มศีรษะลง “กระหม่อมไร้ความสามารถ ได้โปรดยกโทษให้กระหม่อมด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
“ท่านผู้นำ เราควรส่งคนไปแจ้งชนเผ่านวี่ห์เจินตอนนี้เลยหรือไม่? ให้พวกเขาบุกเข้ามา มิฉะนั้นคนชองเราไม่อาจหนีออกมาได้ขอรับ”
คำเตือนของคนเก่าแก่ในตระกูลถูกใจเขามาก
จางจื้อสยงพูดทันที
“เจ้ารีบไปจัดการ เร่งให้พวกเขาเข้าไปเมืองเสิ่นให้เร็วที่สุด”
“รับทราบ!” คนเก่าแก่ในตระกูลตอบรับ และเดินจากไป
จางจื้อสยงหยิบถ้วยชาขึ้นมาและรอผลอย่างสบายใจ
อีกด้านหนึ่ง องค์ชายใหญ่รวบรวมทหารทุ่งหญ้าของเขาและเดินทางตามมา
ชาวทุ่งหญ้าไม่พูดอะไรมาก เมื่อเขารับปากแล้ว นั่นคือความสัตย์จริง หากตกปากรับคำแล้ว เรื่องนั้นจะต้องสำเร็จ
ทหารม้าและองค์ชายใหญ่กำลังเคลื่อนตัวเข้าเมืองเสิ่นด้วยความเร็ว
เมื่อเห็นว่าเมืองเสิ่นอยู่ใกล้แค่เอื้อม คนเก่าแก่ของตระกูลจางก็เจอพวกเขา สีหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม
“สมกับเป็นองค์ชายใหญ่ ความเร็วเช่นนี้ทำให้ข้าละอายใจยิ่งนัก”
พ่อบ้านตระกูลจางยกย่องเขา
“หากพูดถึงประสิทธิภาพและประสิทธิผลแล้ว พวกเราชาวเยี่ยนเป่ยยังล้าหลังชาวทุ่งหญ้าอย่างพวกท่านมาก”
ชาวทุ่งหญ้าได้ยินเช่นนั้นต่างเงยหน้าขึ้น และยิ้มออกมาอย่างภูมิใจ
องค์ชายใหญ่พอใจกับคำชมและถามออกไปว่า
“อ้อ ใช่แล้ว พวกเราต้องโจมตีเมืองเมื่อไหร่? เจ้าบอกมาได้เลย”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: องค์ชายผู้ทรงเสน่ห์
คนเขียนเก่งจริง ทำให้คนอ่านรู้สึกหงุดหงิดกับการตามหาลูกสาวของฉินเหยียน และจังหวะคาดที่จะได้เจอกันของเฝิงตู่กับฉินเหยียนจริงๆ ถ้าจะหากันจริงๆก็น่าจะทำง่ายป่ะ ประกาศหรือแจ้งข่าวไปว่าฮ๋องเหยียนต้องการพบปะเฝิ่งตู่นัดให้ไปเจอสักที่ตัวเองมีเครือข่ายทั่วอาณาจักรยังไงข่าวก็ต้องถึงหูอยู่แล้ว บัดเรื่องแบบนี้ไม่ฉลาดเอาเลยพระเอกฉัน...
จบแล้วเหรอคะ ..จบแบบงงๆ...
จะมีต่อ..หรือจบแล้วครับ...
มีต่อมั๊ยครับ สนุกมากขอบคุณครับ...
รออ่านอยูนะครับสนุกมาก...
รออ่านดูนะครับ..เมตตาลงต่อเร็วหน่อยนะคะรับ รอแบบไม่มีกวังเลยครับตอนนี้ เงียบหลายวันมากๆ ขอความเมตตาช่วยลงให้อ่านด้วยครับ...
รอตอนที่ 631 อยู่นร้า...
รอตอนต่อไป…กำลังสนุก...
สนุกมากครับขอบคุณที่ลงให้อ่านนะครับของคุณครับ...
มาแล้ว630...