องค์ชายผู้ทรงเสน่ห์ นิยาย บท 279

เหล่าขุนนางทั้งบุ๋นและบู๊ทั่วทั้งราชสำนักระเบิดอีกครั้ง

"เหตุใดองค์ชายสิบสี่ต้องส่งเหล่าสตรีทั้งหมดออกไปด้วยเล่า?"

"เหตุใดจึงต้องส่งไปยังอาณาจักรจ้าว?"

"เหตุใดจึงไม่ส่งจ้าวจีเอ๋อร์กลับไปยังอาณาจักรจ้าวเสียด้วยกันด้วยเล่า?"

ทันใดนั้นในท้องพระโรงก็เต็มไปด้วยเสียงพูดคุยและคลื่นแห่งการถกเถียงที่เต็มไปด้วยความสงสัยครั้งแล้วครั้งเล่า

แต่ฮ่องเต้ฉินรู้สึกได้ถึงความปั่นป่วนในใจ มีเหงื่อเย็นๆไหลออกมาศีรษะของเขา

เจ้าสิบสี่ส่งเหล่าสตรีที่อยู่ข้างกายเขาออกไปหมดแล้ว ดูท่าแล้วคงคิดจะตัดสินใจสู้ตายกับชายชราเช่นเขาแล้วกระมัง!

แย่แล้ว!

ครั้งนี้จบสิ้นแล้ว!

ฮ่องเต้ฉินแสร้งทำเป็นสงบนิ่งและคิดจะจิบชาเพื่อระงับความกลัวในใจ ทว่ามือที่ยกถ้วยชาขึ้นมากลับสั่นเทาอย่างควบคุมไม่ได้

เขาสามารถสร้างเมืองใหม่โดยไม่ต้องเสียเงินสักแดง ทั้งยังสามารถเลี้ยงดูราษฎรกว่าห้าแสนคน!

ขอเพียงเขาคิดจะกบฏและเพียงแค่ออกคำสั่งอย่างน้อยจะต้องมีราษฎรสองแสนคนที่จะตอบสนอง

เวลานี้สถานการณ์เช่นนี้เห็นได้ชัดว่าเขาคิดจะกบฏ

หากคนกว่าห้าแสนคนบุกโจมตีเมืองหลวง จะทำอย่างไรกันดี?

เมื่อนึกถึงในครั้งนั้นที่ฉินและจ้าวรบกัน ฉินเหยียนออกไปสู้รบกว่าพันลี้และชนะศึกหลายครั้ง ทั้งยังตีทัพใหญ่กว่าหลายแสนนายของอาณาจักรจ้าวจนแตกพ่ายโดยไม่ต้องใช้ทหารแม้แต่คนเดียว และอาณาจักรจ้าวยังมิอาจฟื้นตัวได้จนถึงทุกวันนี้

ด้วยความสามารถของเจ้าสิบสี่หากคิดจะนั่งในตำแหน่งฮ่องเต้มันก็ง่ายเหมือนพลิกฝ่ามือ!

เมื่อฮ่องเต้ฉินคิดถึงสิ่งนี้เขาก็ขนลุกไปทั้งตัว และเหงื่อเย็นๆบนหลังก็ไหลไม่หยุด

เมื่อไท่ฟู่เห็นว่าสีหน้าของฮ่องเต้ฉินไม่สู้ดีนักและไม่ได้ถามอะไรมาเป็นเวลานานจึงถามขันทีผู้ถ่ายทอดพระราชโองการคนที่สามว่า

"รีบตอบฝ่าบาทว่าเมื่อตอนที่เจ้าไปถ่ายทอดราชโองการอ๋องเหยียนกำลังทำอะไรอยู่?"

ขันทีผู้ถ่ายทอดราชโองการคนที่สามกลืนน้ำลายและร่างกายสั่นเทา เขาประสานมือและกราบทูลว่า

"กราบทูลฝ่าบาท เมื่อตอนถ่ายทอดราชโองการอ๋องเหยียนกำลังฝึกกองทหารของเขาในเวิ่งเฉิงพะยะค่ะ"

"ตั้งแต่ตำแหน่งเสนาธิการขึ้นไปทั้งหมดต่างมารวมตัวกันเพื่อหารือเกี่ยวกับกลยุทธ์ทางการรบพะยะค่ะ"

"เพล้ง"

ถ้วยชาในมือของฮ่องเต้ฉินหล่นลงบนพื้นและแตกออกเป็นเสี่ยงๆ

ทันใดนั้นสีหน้าของฮ่องเต้ฉินก็ทรุดโทรมและรู้สึกแก่ขึ้นสิบเท่าในทันที

ฮ่องเต้ฉินรู้สึกกลัวจริงๆแล้ว!

หากมิใช่เพราะอยู่ต่อหน้าเหล่าขุนนางทั้งบุ๋นและบู๊ทั่วทั้งท้องพระโรงเขาคงมิอาจซ่อนความหวาดกลัวไว้ได้ และในเวลานี้เองเขารู้สึกว่าทุกอย่างจบลงแล้ว หากฉินเหยียนมีความทะเยอทะยานจริงๆ เกรงว่าตำแหน่งฮ่องเต้ของเขาคงจะรักษาไว้ไม่ได้แล้ว

ไท่ฟู่ไม่เห็นความหวาดกลัวบนใบหน้าของฮ่องเต้ฉิน เขายังคงเติมเชื้อเพลิงลงในไฟอย่างไม่หยุดหย่อนโดยกล่าวว่า

"ฝ่าบาทพะยะค่ะ อ๋องเหยียนมีเจตนาไม่ซื่อสัตย์อย่างแน่นอน และตอนนี้ก็ชัดเจนแล้วพะยะค่ะ"

"อ๋องเหยียนส่งเหล่าสตรีที่อยู่ข้างกายออกไปก่อน ทั้งยังกล้าที่จะฝึกกองกำลังของเขาอย่างโจ่งแจ้ง มีเจตนาชั่วร้าย หวังว่าฝ่าบาทจะลงโทษอ๋องเหยียนอย่างหนักเพื่อมิให้เป็นเยี่ยงอย่างพะยะค่ะ!"

ฮ่องเต้ฉินเบิกตากว้างพลางชี้ไปที่องค์ชายใหญ่ และกล่าวอย่างกระตือรือร้นว่า

"พูด รีบพูด!"

องค์ชายใหญ่ฉินชงประสานมือ และกล่าวต่อว่า

"ลูกยินดีนำราชโองการไปยังชายแดนด้วยตนเองเพื่อเรียกอำนาจในการบัญชาการสามทัพของน้องสิบสี่คืน และเพิกถอน อำนาจทางการทหารทั้งหมดของน้องสิบสี่พะยะค่ะ"

"ทำเช่นนี้ประการแรกเราสามารถทดสอบได้ว่าน้องสิบสี่มีเจตนาที่จะกบฏจริงๆหรือไม่ ประการที่สองเพื่อเป็นการทุบหม้อข้าวและจมเรือพะยะค่ะ"

ฮ่องเต้ฉินหวาดกลัวจนสับสนไปแล้ว และไม่เข้าใจความหมายของคำเหล่านี้

"เจ้าหมายความว่าอย่างไร อธิบายให้ละเอียด"

องค์ชายใหญ่กราบทูลว่า

"หากน้องสิบสี่มีเจตนาที่จะกบฏลูกจะไปที่ชายแดนเพื่อเพิกถอนอำนาจทางการทหารของเขา หากเขาปฏิเสธนั่นก็เป็นการยืนยันว่าเขามีเจตนาจะกบฏ"

"เมื่อฝ่าฝืนราชโองการลูกก็สามารถตั้งข้อหากบฏและประหารเขาได้ทันที"

"หากน้องสิบสี่ยอมรับคำสั่งในการเพิกถอนอำนาจทางการทหาร เมื่อไม่มีทหารจะก่อกบฏได้อย่างไร เสด็จพ่อก็จะสามารถควบคุมเขาได้ตามใจชอบพะยะค่ะ"

ทันใดนั้นฮ่องเต้ฉินก็รู้สึกหมดกังวล ด้วยวิธีนี้ก็จะสามารถทำลายทางตันได้อย่างสิ้นซาก นี่เป็นวิธีที่ดีที่สุดในเวลานี้จริงๆ

"ดี ดีมาก! ชงเอ๋อร์ เช่นนั้นเรื่องนี้ก็มอบให้เจ้าไปจัดการก็แล้วกัน รีบร่างราชโองการ!"

ไท่ฟู่และคนอื่นๆต่างตกตะลึง และรีบห้ามปรามว่า

"ขอฝ่าบาทโปรดไตร่ตรองพะยะค่ะ!"

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: องค์ชายผู้ทรงเสน่ห์