องค์ชายผู้ทรงเสน่ห์ นิยาย บท 352

องค์ชายเจ็ดฉินอวี่คิดอยู่พักหนึ่งแล้วจึงเอ่ยปากออกมาก่อนว่า

"ข้าก็ไม่อยากเป็นฮ่องเต้เช่นกัน พูดตามตรงก่อนหน้าข้าเคยอยากช่วงชิงอำนาจจริงๆ ทว่าเวลานี้เมื่อคิดดูแล้วการเป็นฮ่องเต้นั้นยากเกินไป"

"หากเป็นกษัตริย์ผู้ปราดเปรื่องก็จะต้องตรากตรำทำงานทั้งวันทั้งคืนเพื่อใต้หล้าจนไม่มีเวลาเป็นของตนเอง หากเป็นกษัตริย์ที่โง่เขลาก็จะต้องเสียชื่อเสียงในบันทึกประวัติศาสตร์ เมื่อตายไปแล้วก็จะถูกวิพากษ์วิจารณ์"

"แค่คิดก็เหนื่อยแล้ว ข้าขอยอมแพ้!"

เมื่อองค์ชายใหญ่ฉินชงได้ยินว่าน้องชายทั้งสองล้วนไม่อยากนั่งบัลลังก์ เขาอยากจะรับแต่ก็ไม่กล้าจึงทำได้เพียงปฏิเสธด้วยสีหน้าลำบากใจว่า

"พวกเจ้าทั้งสองต่างก็ฉลาดกว่าข้า เมื่อพวกเจ้าไม่อยากนั่งบัลลังก์ข้าก็ไม่นั่งเช่นกัน ในภายภาคหน้าข้าท่องเที่ยวไปทั่วกับพวกเจ้าไม่ดีกว่าหรือ อย่างไรเสียยังมีพี่น้องอีกตั้งหลายคน ให้พวกเขาแย่งชิงไปก็แล้วกัน"

ฉินเหยียนกล่าวอย่างหนักแน่นว่า

"พี่ใหญ่ พี่เจ็ด พี่น้องคนอื่นๆเป็นคนเช่นไรพวกท่านและข้าต่างก็รู้ดี แผ่นดินของต้าฉินนี้มีเพียงส่งมอบให้แก่ท่านทั้งสองข้าจึงจะวางใจ"

"ในเมื่อพวกเราพี่น้องต่างยอมถอยให้แก่กัน เช่นนั้นท่านทั้งสองก็จับไม้สั้นไม้ยาวแล้วให้สวรรค์เป็นผู้ลิขิตว่าผู้ใดจึงจะเป็นโอรสที่สวรรค์เลือกก็แล้วกัน"

องค์ชายเจ็ดและองค์ชายใหญ่สบตากัน

"ได้ ทำตามที่เจ้าว่าก็แล้วกัน"

จากนั้นฉินเหยียนจึงหยิบไม้สองอันออกมาถือไว้ในมือ และอธิบายกฎเกณฑ์

"ข้าจะถือไม้สองอันไว้ในมือ อันหนึ่งยาว อันหนึ่งสั้น ผู้ใดก็ตามที่หยิบไม้สั้นจะได้เป็นฮ่องเต้ พี่ชายทั้งสอง ผู้ใดจะเริ่มก่อน?"

องค์ชายใหญ่ฉินชงกล่าวว่า

"ข้าเป็นพี่ใหญ่ต้องยอมน้องชาย น้องเจ็ด เจ้าเริ่มก่อน"

องค์ชายเจ็ดฉินอวี่มิได้อิดออด เขาถูมือและกล่าวอย่างไม่เกรงใจว่า

"เช่นนั้นข้าก็ไม่เกรงใจแล้วนะ พี่ใหญ่"

หลังจากนั้นเขาจึงบีบแท่งไม้ด้านซ้ายพลางหลับตาแล้วอธิษฐานว่า

"ไม้ยาว ไม้ยาว....."

เขากล่าวพลางค่อยๆดึงแท่งไม้ออกมาดู และกล่าวด้วยความสงสัยว่า

"นี่มันไม้ยาวหรือว่าไม้สั้นกัน?"

ฉินเหยียนยิ้มพลางกล่าวว่า

"เมื่อพี่ใหญ่หยิบออกมาแล้ว ท่านทั้งสองเทียบดูก็รู้แล้ว"

จากนั้นเขาจึงยื่นมือที่ถือแท่งไม้ไปยังเบื้องหน้าพี่ชายใหญ่ และกล่าวว่า

"ถึงคราวท่านแล้ว พี่ใหญ่"

องค์ชายใหญ่ฉินชงก็ถูมือเช่นกัน และกล่าวว่า

"จะต้องเป็นไม้ยาวแน่ๆ!"

เขาจึงยกจอกสุราขึ้นมา และกล่าวว่า

"หมดจอก!"

หลังจากที่ได้ข้อสรุปแล้วฉินเหยียนจึงสั่งให้จ้าวจีเอ๋อร์ที่อยู่ข้างกายนำสิ่งล้ำค่าทั้งสี่ในห้องหนังสือออกมา แล้ววางกระดาษ และฝนหมึก

หลังจากที่ทุกอย่างพร้อมแล้ว เขาจึงเริ่มเขียนฎีกาเพื่อกราบทูลเสด็จพ่อ

ในนั้นฉินเหยียนเขียนว่าองค์ชายเจ็ดฉินอวี่ได้มีส่วนร่วมในเหตุการณ์น้อยใหญ่ทุกๆเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งภายในและภายนอกพระราชวังในช่วงเวลานี้

ก่อนที่องค์ชายเจ็ดจะถูกคุมขังอยู่ในจงเหรินฝู่ เขาได้แต่งงานกับสตรีผู้หนึ่งและทั้งสองต่างก็ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมา

สตรีผู้นี้มีความสามารถเป็นอย่างมาก เดิมทีนางเป็นบุตรีของใต้เท้าจาง ขุนนางผู้จงรักภักดีในราชสำนัก ตระกูลของนางถูกขุนนางชั่วใส่ร้ายป้ายสีจนต้องตกระกำอยู่ในหอเจี้ยวฟางซือ

ต่อมาพ่อค้าผู้มั่งคั่งไถ่ถอนนางและรับเลี้ยงเป็นบุตรีบุญธรรม หลังจากพ่อค้าผู้มั่งคั่งเสียชีวิตบุตรีผู้นี้จึงรับมรดกทรัพย์สินทั้งหมดของเขาและสืบทอดกิจการของบิดา เมื่อนางผ่านชายแดนในระหว่างทางไปทำการค้าขายจึงได้พบกับองค์ชายเจ็ดและเกิดเป็นความรักขึ้นระหว่างกัน

แม้ว่าองค์ชายเจ็ดจะประสบปัญหา สตรีผู้นี้ก็จะติดตามเขากลับโดยไม่ลังเลและไม่ทอดทิ้ง จากนั้นจึงแอบเสด็จพ่อแต่งงาน กับองค์ชายเจ็ดที่จงเหรินฝู่

ในช่วงเวลานี้ตระกูลใหญ่ๆต่างแย่งกันขายทรัพย์สินของตระกูลเพื่อรักษาชีวิต สตรีผู้นี้ไม่ลังเลที่จะทุ่มทรัพย์สินทั้งหมดเพื่อซื้อไร่นาและทรัพย์สินที่ตระกูลขุนนางขาย

สมบัติเหล่านี้องค์ชายเจ็ดมิได้ตั้งใจจะใช้เป็นการส่วนตัว แต่เขาเสนอให้ใช้ทรัพย์สินเหล่านี้เพื่อเปิดสถานศึกษา หอวรรณกรรม และสถานฝึกยุทธ์เพื่อให้เหล่าบุตรและบุตรีในใต้หล้าสามารถอ่านออกเขียนได้ มีความรู้และหลักการ และเป็นกำลังสำคัญให้กับแผ่นดินต้าฉิน

ไร่นาที่ซื้อมาจะคืนให้แก่ราษฎรเพื่อให้ชาวประชาไม่ต้องอยู่อย่างไร้ศักดิ์ศรีอีกต่อไป ทุกคนจะสามารถพึ่งพาตนเองได้และมีเสบียงกับเครื่องนุ่งห่มอย่างเพียงพอ

กล่าวโดยสรุป องค์ชายเจ็ดได้วางแผนและพยายามอย่างเต็มที่เพื่อทำให้รากฐานของต้าฉินมั่นคง และเขายังเป็นปราชญ์ที่น่าเชื่อถือ

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: องค์ชายผู้ทรงเสน่ห์