ทุกคนต่างมีจิตใจ ต้องรู้ว่าตำแหน่งปั๋วซื่อในสำนักศึกษาหลวงมีถึงหนึ่งร้อยแปดคน คิดเสียว่าทุกคนแต่งบทกวีที่มีคำว่าเดือนมาคนละหนึ่งประโยค องค์ชายสิบสี่ต้องต่อบทกวีที่มีคำว่าเดือนให้ได้ถึงหนึ่งร้อยแปดบทเลยทีเดียว
ด้วยทักษะที่ไม่มีความรู้ของเขา รู้จักคำศัพท์เพียงแค่ไม่กี่คำ การต่อบทกวี หนึ่งต่อหนึ่งร้อยแปดคน ประมาณถูกโบยด้วยไม่ไผ่ถึงพันครั้ง จะไม่ทำให้ร่างกายเขากลายเป็นกระดาษเปื่อยๆ ไปเลยหรือ!
นักเรียนบางคนถึงกับจินตนาการว่าหากองค์ชายสิบสี่ถูกโบยเป็นชิ้นๆ จะเป็นเช่นไร!
แต่ฉินเหยียนไม่คิดเช่นนั้น ในฐานะที่เขาเป็นคนในยุคปัจจุบัน การรังแกคนในสมัยโบราณเหมือนกับเด็กนักศึกษารังแกเด็กอนุบาลอย่างไรอย่างนั้น!
“ไม่ใช่เพราะว่าข้าอวดดี แต่ข้าเป็นคนมีคารมคมคาย ทำให้คนมีคนเข้าร่วมเยอะมากขนาดนี้ อีกเดี๋ยวพวกเจ้าตามข้าไม่ทัน ข้าต้องการให้พวกเจ้าคุกเข่าดูว่าข้ามีโชคมากแค่ไหน!”
จ้าวจือหย่าหน้าแดง พลันก้าวขึ้นไปข้างหน้า
“ไอ้คนมักมากบ้าตัณหา ฟังคำข้าให้ดี ประโยคแรกของข้าคือ ใต้ดวงจันทราไม่มีคนงาม...”
ฉินเหยียนไม่ตั้งใจฟังเสียด้วยซ้ำ เขาก้าวไปข้างหน้าเพื่อเข้าใกล้จ้าวจือหย่า ยื่นมือออกไปจับคางของนางและพูดล้อเล่นว่า
“ดวงจันทราอยู่เหนือต้นหลิว เรามีนัดกันหลังพลบค่ำ ที่รัก คืนนี้ข้ารอเจ้าอยู่ในวัง บนเตียงของข้า ทั้งใหญ่และสบาย!”
“เจ้า!”
ก่อนที่นางจะโกรธ นางได้ยินเสียงดังเซ็งแซ่เบื้องหลังนาง
“ดวงจันทราอยู่เหนือต้นหลิว เรามีนัดกันหลังพลบค่ำ บทกวีนี้มาจากหนังสือเล่มไหนกัน ข้าไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย?”
“แต่ทว่า ดูเหมือนจะคล้องจองอยู่นะ!
“นี่ เจ้าเคยเห็นจากหนังสือเล่มไหนมาก่อนหรือไม่?”
“ไม่เคยเห็นมาก่อนเลย ข้าเองก็ไม่รู้เหมือนกัน!”
มีเสียงพูดคุยดังเซ็งแซ่ ทันใดนั้นจ้าวจือหย่าจึงได้สติกลับขึ้นมา
ใช่แล้ว ข้าไม่เคยเห็นบทกวีบทนี้มาก่อน ไม่เคยได้ยินเสียด้วยซ้ำ มาจากหนังสือโบราณเล่มใดกันแน่?
หรือว่าเขาแต่งบทกวีขึ้นมาเอง?
เมื่อมองไปที่องค์ชายสิบสี่ที่อวดเก่งอยู่ตรงหน้า จ้าวจือหย่าพลันเก็บความคิดที่ไม่สมจริงไว้ภายในใจ
แอบท่องในใจเงียบๆ ดวงจันทราอยู่เหนือต้นหลิว เรามีนัดกันหลังพลบค่ำ
รู้สึกได้ถึงจังหวะของบทกวี
ทันใดนั้นหัวใจนางพลันสั่นไหว ช่างเป็นบทกวีที่สวยงามมากจริงๆ!
เมื่อจ้าวจือหย่าตกอยู่ในความงุนงง ฉินเหยียนเดินไปหาไท่ฟู่อย่างอวดดี และพูดอย่างเด็ดเดี่ยวว่า
“หญิงมากความสามารถคนนี้ได้ถูกข้าพาตัวออกไปแล้ว หลังจากนั้นข้าอยากให้พวกเจ้าทั้งหมดคุกเข่าลง หากพวกเจ้ายังต่อบทกวีไม่ได้ เช่นนั้นปากของข้าจะปล่อยบทกวีออกมาเหมือนกับระเบิดปืนใหญ่ให้พวกเจ้าฟัง!”
“ข้าบอกให้พวกเจ้าทุกคนคุกเข่าลง!”
“ไอ้เด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม อวดดี จองหอง!”
“คนวันนี้ไม่เคยเห็นแสงจันทราในอดีต แต่จันทราเคยสาดส่องคนมาแต่อดีต!”
หลังจากพูดจบ เขาก็ผลักไท่ฟู่เซไปหนึ่งก้าว คิ้วของเขาขมวดกันอย่างแรง เขาไม่เคยได้ยินประโยคนี้มาก่อน
ฉินเหยียนเดินไปหานักวิชาการที่อยู่ด้านหน้า และพูดอย่างอวดดีอีกครั้ง
“พระจันทร์ลอยบนผิวน้ำทะเล ผู้คนท้องที่ต่างๆ ร่วมกันฉลอง!”
“บทกวียอดเยี่ยม!”
นักวิชาการคนนั้นอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ
“ยกจอกเชิญนวลจันทร์ ให้เงาเป็นบุคคลที่สาม!”
“ยอดเยี่ยม!”
ในเวลานี้บรรดาคนที่มีหน้ามีตาในสำนักศึกษาหลวงต่างไม่มีเวลาต่อบทกวีกลับ ทั้งหมดยืนฟังบทกวีทุกบรรทัดของฉินเหยียนอย่างใจจดใจจ่อ!
ในเวลานี้พวกเขารู้สึกเหมือนได้เจออาจารย์ที่ดี และทุกบทกวีต่างจุดไฟให้จิตวิญญาณของพวกเขา!
ฉินเหยียนเองก็ไม่ได้รีบร้อน ชี้ไปทีละคนให้ต่อคนละบท
“วัยเยาว์ไม่รู้จักดวงจันทรา สีเหมือนแผ่นหยกสีขาวนวล”
“แสงจันทร์ที่สาดส่องผ่านหน้าต่างเข้ามายังเตียงนอน ในตอนแรกคิดไปว่าเป็นไอจากน้ำค้างแข็ง”
“คนในป่าลึกไม่รู้จัก ดวงจันทร์สุกสกาวมาส่องแสง”
“สะพานในคืนเดือนหงาย เหตุใดคนงามถึงสอน...”
...
ทุกคนต่างตกตะลึงและมึนงง จากตอนแรกที่รู้สึกโกรธ ตอนนี้กลับกลายเป็นทำอะไรไม่ถูก
ทุกบทกวีที่มีคำว่า “ดวงจันทร์” อยู่ในนั้นเป็นเหมือนเป็นการชำระล้างจิตใจของเขา!
ช่างงดงามเสียเหลือเกิน!
ยอดเยี่ยม!
ไร้ที่ติ!
ความสามารถที่มีอยู่น้อยนิดของพวกเขาได้ใช้จนหมดไปแล้ว ไม่มีคำศัพท์คำใดที่สามารถอธิบายความรู้สึกของพวกเขาในตอนนี้ได้
“จ้าวปั๋วซื่อ เจ้าเป็นอะไรไป? ข้าช่วยเจ้าอยู่! หรือว่าเจ้าคิดอยากจะไปเป็นเด็กรับใช้ของเขาจริงๆหรือ?”
ประโยคนี้ทำให้ใจของจ้าวจือหย่าเต้นรัว จากนั้นนางจึงเงียบไป
หลังจากนั้นผู้ชมต่างเริ่มโจมตีฉินเหยียนด้วยพละกำลังทั้งหมดที่มี ต้องทุบตีเขาให้ตายด้วยไม้ไผ่ให้ได้!
มีเพียงชายชราคนหนึ่งเท่านั้นที่พูดอย่างยุติธรรมว่า
“ทุกคนได้โปรดอดทนรอเสียหน่อย แม้ว่าบทกวีที่องค์ชายสิบสี่พูดมานั้นเป็นบทกวีที่เขาแต่งขึ้นเอง แต่ข้าคิดว่า บทกวีเหล่านี้สามารถบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ได้มิใช่หรือ”
“เจ้าคิดว่ามันไร้ประโยชน์!”
อาจารย์หลี่พุ่งตัวออกมาพร้อมปลุกปั่นเรื่องไร้สาระ
นักเรียนที่อยู่ในกลุ่มที่เป็นกลาง เป็นกลุ่มคนต่ำต้อยคำพูดย่อมไม่มีน้ำหนักโดยปกติแล้วมักไม่มีสิทธิ์ในการพูดหรือออกความคิดเห็นตอนนี้เขากลับไม่ได้รับโอกาสให้พูดออกมา
“ทุกท่านต้องยอมรับก่อนว่าบทกวีเป็นสิ่งที่ดี เขาเขียนอะไร? โคลงตลกขบขันที่ล้วนแต่สรรเสริญเขาเอง!”
“อืมๆๆ!”
คนกลุ่มหนึ่งพยักหน้าโดยไม่รู้สึกผิด บิดเบือนข้อเท็จจริง และพยายามอย่างเต็มที่ที่จะเห็นด้วย
“เหอะเหอะ!”
ฉินเหยียนยิ้มอย่างเย็นชา
“เจ้าพวกขยะ พูดว่าบทกวีของข้าไม่ดีเท่าโคลงตลกขบขัน หากพวกเจ้ามีความสามารถกันนัก ก็สร้างบทกวีที่ดีกว่าของข้าสิ!”
“อย่าอาศัยว่าตนอาบน้ำร้อนมาก่อน มิฉะนั้นพวกเจ้ามีหนึ่งคนนับเป็นหนึ่ง ล้วนแต่เป็นนักวิชาการที่ใช้วิธีการไม่ชอบเพื่อให้ได้มาซึ่งชื่อเสียงและเกียรติยศ!”
“ไอ้เด็กอวดดี! ช่างน่ารำคาญเสียจริง!”
“ไม่ต้องห้ามข้า ข้าอยากจะตีเขา!”
“ไม่มีใครห้ามเจ้า เข้ามาเลย...”
“เฮอะ ดูทำท่าทำทาง!”
ฉินเหยียนนั่งไขว้ขาบนเก้าอี้ แสดงท่าทีดูถูก ชี้ไปยังบรรดาคนเหล่านั้นแล้วพูดว่า
“พวกเจ้าเป็นคนแรกที่ก่อปัญหา แพ้แล้วกลับไม่ยอมรับ พวกเจ้ามีดีที่ไหนกัน!”
“กษัตริย์และขุนนางมิได้เป็นเมล็ดพันธุ์จากสวรรค์!”
“ไอหย่า พระเจ้า ชีวิตข้านี้ไม่เคยพบเจอความอัปยศเช่นนี้มาก่อน!”
“หยุดโวยวายได้แล้ว ใจเย็น! มองมาที่ข้า!”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: องค์ชายผู้ทรงเสน่ห์
คนเขียนเก่งจริง ทำให้คนอ่านรู้สึกหงุดหงิดกับการตามหาลูกสาวของฉินเหยียน และจังหวะคาดที่จะได้เจอกันของเฝิงตู่กับฉินเหยียนจริงๆ ถ้าจะหากันจริงๆก็น่าจะทำง่ายป่ะ ประกาศหรือแจ้งข่าวไปว่าฮ๋องเหยียนต้องการพบปะเฝิ่งตู่นัดให้ไปเจอสักที่ตัวเองมีเครือข่ายทั่วอาณาจักรยังไงข่าวก็ต้องถึงหูอยู่แล้ว บัดเรื่องแบบนี้ไม่ฉลาดเอาเลยพระเอกฉัน...
จบแล้วเหรอคะ ..จบแบบงงๆ...
จะมีต่อ..หรือจบแล้วครับ...
มีต่อมั๊ยครับ สนุกมากขอบคุณครับ...
รออ่านอยูนะครับสนุกมาก...
รออ่านดูนะครับ..เมตตาลงต่อเร็วหน่อยนะคะรับ รอแบบไม่มีกวังเลยครับตอนนี้ เงียบหลายวันมากๆ ขอความเมตตาช่วยลงให้อ่านด้วยครับ...
รอตอนที่ 631 อยู่นร้า...
รอตอนต่อไป…กำลังสนุก...
สนุกมากครับขอบคุณที่ลงให้อ่านนะครับของคุณครับ...
มาแล้ว630...