โทษทีข้าเกิดมาต้องเป็นเมียเอกเท่านั้น นิยาย บท 3

ฮ่องเต้น้อยขมวดคิ้ว สายตาที่มองไปยังครอบครัวซิ่นหยางโหว ไม่อ่อนโยนและใกล้ชิดเหมือนอย่างตอนเริ่มงานเลี้ยงแล้ว

ทว่าซิ่นหยางโหวไม่รอให้โอรสสวรรค์เปล่งวาจา ก็มองไปยังหรงจือจือ พลางเกลี้ยกล่อม “ลูกสะใภ้เอ๋ย บิดาของเจ้าสั่งสอนบุตรีได้ดีมาตลอด หากเขารู้เรื่องนี้ คิดว่าเขาเองก็คงจะขอให้เจ้าคำนึงถึงประโยชน์ส่วนรวมเช่นกัน!”

หรงจือจือซึ่งนัยน์ตาสะท้อนรอยยิ้มดูแคลน ตอบกลับอย่างไม่เร่งรีบแต่ก็ไม่เนิบนาบ “ท่านพ่อสามี ท่านพ่อสอนให้ข้าคำนึงถึงประโยชน์ของส่วนรวม แต่ไม่เคยสอนให้ข้าเป็นอนุ!”

สิ้นเสียงนี้ นางคุกเข่าลงกับพื้นทันทีพร้อมเอ่ยว่า “ฝ่าบาทเพคะ หากต้องเป็นอนุ หม่อมฉันไม่ยอมรับอย่างเด็ดขาด ชื่อเสียงอันบริสุทธิ์ของสกุลหรงเรา จะพังทลายลงในมือของหม่อมฉันมิได้เป็นอันขาด ขอฝ่าบาทโปรดพิจารณาอย่างรอบคอบเป็นธรรม! เพื่อผลประโยชน์ของส่วนรวมแล้ว หรงจือจือยินดีหย่าขาด สกุลหรงเราขอตัดขาดสัมพันธ์สมรสกับจวนซิ่นหยางโหวนับแต่บัดนี้เพคะ!”

พอกันที แค่สามปี นางยอมแพ้ให้ก็ได้!

ถึงอย่างไรพวกเขาสองคนก็ยังมิได้ร่วมเรือนหอ

ตั้งแต่เยาว์วัยท่านย่าเคยสอนนางไว้ว่า ชีวิตมนุษย์ก็เหมือนหมากรุกบนกระดาน ลูกหลานสกุลหรงต้องมีเกียรติยศศักดิ์ศรี หากพ่ายแพ้ ก็ต้องยอมรับความพ่ายแพ้อย่างมีน้ำใจ ยิ่งไปกว่านั้นจะต้องมีความกล้าหาญและความมุ่งมั่นเด็ดเดี่ยวที่จะเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง

พวกจิ้งจอกเนรคุณอย่างครอบครัวนี้ นางยอมให้ก็ได้!

เมื่อคำว่าหย่าขาดถูกเอ่ยออกมา คนทั้งท้องพระโรงต่างอึ้งงัน

เพราะถึงแม้กฎหมายของต้าฉี จะนับว่าปกป้องสิทธิของภรรยาเอกอยู่ แต่อิสตรีที่ผ่านการหย่าร้างมาแล้วนั้น หากคิดจะสมรสใหม่อีกครั้ง การจะได้สมรสนั้นก็รังแต่จะยากลำบากขึ้นอย่างเลี่ยงไม่ได้

ยิ่งไปกว่านั้น ยังส่งผลเสียต่อชื่อเสียงด้วย

ทว่าสิ่งที่ทำให้ทุกคนประหลาดใจนั่นก็คือ คนแรกที่ส่งเสียงคัดค้านออกมา กลับเป็นฉีจื่อฟู่ “ไม่ได้! จือจือ เจ้าเป็นภรรยาของข้าแล้ว จะเป็นหรือตายเจ้าก็คือคนของสกุลฉีเรา จะหย่าขาดกันได้อย่างไร?”

หรงจือจือแดกดันไปที “ท่านพี่เองก็ทราบด้วยหรือ ก่อนหน้านี้ข้าแต่งเข้าเรือนพวกท่านมา ก็เพื่อเป็นภรรยาเอก!”

ฉีจื่อฟู่ได้ฟังถ้อยคำนี้ ก็หน้าเสียทันที “ข้ารู้ว่าเรื่องนี้ไม่เป็นธรรมกับเจ้า แต่ข้ายังรักเจ้ามาก!”

หรงจือจือเอ่ยด้วยเสียงจืดชืด “บุรุษดี ๆ ที่ไหน จะยอมให้คนที่ตนเองรักและให้ความสำคัญอย่างแท้จริง ไปเป็นอนุภรรยาผู้ต่ำต้อย แล้วรับคนที่ลักลอบมีสัมพันธ์อย่างผิดครรลองกลับมาเข้าพิธีสมรสเป็นภรรยาเอก ในเมื่อท่านพี่รักใคร่ทะนุถนอมองค์หญิงแคว้นเจาท่านนั้นมาก ไม่สู้ให้นางมาเป็นอนุภรรยาของท่านเช่นนั้นก็น่าจะเหมาะสมดีมิใช่หรือ?”

ฉีจื่อฟู่ : “…”

เขาคิดไม่ถึงเลยจริง ๆ ว่าภรรยาที่แสนอ่อนโยนเชื่อฟังในความทรงจำของเขา จะปากคอเราะรายได้ถึงเพียงนี้ พูดจาแดกดันตนเอง ต่อหน้าฝ่าบาทและขุนนางทั้งราชสำนัก โดยที่ไม่ไว้หน้าตนเองแม้แต่น้อย มิหนำซ้ำยังบังอาจพูดออกมาว่าตนเองลักลอบมีความสัมพันธ์อย่างผิดครรลองกับหญิงอื่น!

มาถึงขั้นนี้แล้ว หรงจือจือย่อมไม่มีทางไว้หน้าฉีจื่อฟู่อีกแล้ว นางตั้งใจเป็นสะใภ้ใหญ่ผู้มีคุณธรรมที่ได้รับคำเยินยอสรรเสริญจากผู้คน แต่พวกเขาทั้งครอบครัวกลับเพียรพยายามจะดึงเกียรติยศศักดิ์ศรีของนางลงมา เหยียบย่ำในดินโคลนให้ได้

ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ใครก็อย่าได้หวังเลยว่าจะมีความสุข

คราวนี้นางถานเองก็เอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ขึ้นเช่นกัน “นางหรง เจ้าบังอาจต่อว่าสามีของเจ้าเช่นนี้ได้อย่างไร? ข้ายังอุตส่าห์คิดว่าเจ้าเป็นลูกสะใภ้ที่ดีคนหนึ่งจริง ๆ เสียอีก!”

หรงจือจือตอบกลับด้วยใบหน้าไร้อารมณ์ “แม่สามีพูดถูกแล้ว! หากท่านคิดว่าข้าไม่ดี เช่นนั้นก็มาขอให้ฝ่าบาททรงเมตตาอนุญาตให้หย่าขาดพร้อมกันกับข้าเถิด!”

นางถาน : “นี่เจ้า…”

นางถูกตอกหน้าจนสะอึกไป

นางหรือจะไม่กระจ่างแจ้งแก่ใจ มหาราชครูหรงมีรากฐานหยั่งลึกในราชวงศ์มานาน และยังมีลูกศิษย์อีกจำนวนมาก เทียบกับอวี้ม่านหวาองค์หญิงของแคว้นที่ล่มสลายแล้ว หากบุตรชายต้องการมีอิทธิพลและอำนาจที่มากกว่านี้แล้ว ความช่วยเหลือที่สกุลหรงสามารถมอบให้เขาได้นั้นย่อมมีมากกว่า

นางรู้สึกหงุดหงิดมากจริง ๆ ก่อนหน้านี้ตอนอยู่ในเรือน หรงจือจือนอบน้อมเชื่อฟังและกตัญญูต่อตนเองอย่างถึงที่สุด ไม่ว่าตนเองจะกดขี่นางอย่างไร หรือจะตั้งกฎระเบียบขึ้นมาให้นางอย่างไร นางล้วนแต่อมยิ้มและยอมรับ ทุ่มเทสุดกำลังสุดดวงใจคิดคำนวณเพื่อคนทั้งครอบครัว

แต่วันนี้มันเกิดอะไรขึ้น?! คิดจะสร้างความวุ่นวายหรืออย่างไรกัน?

เห็นสายตาสอดรู้ของแต่ละสกุล ทอดมาบนตัวพวกเขา แววตาเหล่านั้นยังเต็มไปด้วยประกายดูถูกดูแคลนพวกเขาทั้งครอบครัว นางถานเองก็ไม่เคยรู้สึกอับอายเช่นนี้มาก่อนในชีวิต สิ่งนี้ยิ่งทำให้นางรู้สึกโกรธเกลียดทุกการกระทำของหรงจือจือในวันนี้มากขึ้นไปอีก!

ฮ่องเต้หย่งอันปวดพระเศียรเพราะเสียงทะเลาะโวยวาย จึงตรัสว่า “พอได้แล้ว! เรื่องนี้ส่งผลต่อแคว้นและเกี่ยวข้องกับการจัดการตำแหน่งที่เหมาะสมให้องค์หญิงแคว้นเจาเก่า เรายังไม่ถึงคราวว่าราชการด้วยตนเอง บัดนี้ท่านเสนาบดีก็กำลังมุ่งหน้าไปกวาดล้างกบฏที่แคว้นเจาด้วยตนเอง เรื่องนี้รอท่านเสนาบดีกลับมาก่อน แล้วค่อยตัดสินเถิด!”

ท่านเสนาบดีที่ฮ่องเต้หย่งอันตรัสถึง ก็คือเสิ่นเยี่ยนซู ผู้ซึ่งสอบได้ที่หนึ่งในทุกระดับการสอบ[footnoteRef:1] ในวัยสิบเจ็ดปี ได้เข้าสำนักขุนนางหลวง ในวัยยี่สิบเอ็ดดำรงตำแหน่งเป็นมหาราชครูขององค์รัชทายาท และได้เป็นสมุหราชเลขาธิการในวัยยี่สิบสามปี [1: การสอบระดับท้องถิ่น การสอบระดับกลาง และการสอบระดับจักรพรรดิ]

กล่าวได้ว่า ในปีที่เสิ่นเยี่ยนซูได้ขึ้นมาดำรงตำแหน่งสมุหราชเลขาธิการ ฝ่าบาทมีพระชนมายุเพียงแปดพรรษา ก่อนที่ฮ่องเต้พระองค์ก่อนจะสวรรคต ได้มีพระบัญชาแต่งตั้งอัครมหาเสนาบดีเสิ่นขึ้นเป็นผู้สำเร็จราชการแทน และให้ฝ่าบาทนับถืออัครมหาเสนาบดีเสิ่นเป็นเสมือนบิดา พร้อมทั้งฝากฝังพระราชโอรสไว้กับอัครมหาเสนาบดีเสิ่น

บทที่ 3 1

บทที่ 3 2

Verify captcha to read the content.ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: โทษทีข้าเกิดมาต้องเป็นเมียเอกเท่านั้น