หรงจือจือได้ยินมาถึงตรงนี้ นัยน์ตาพลันฉายประกายดูแคลนออกมา วันนี้ใครกันแน่ที่ทำให้สกุลหรงและจวนโหวต้องอับอายขายหน้า ดูเหมือนแม่สามีของตนเองคนนี้ จะไม่เข้าใจอะไรเลยแม้แต่น้อย
ฉีจื่อฟู่ได้ยินคำพูดของนางถาน ใบหน้าพลันฉายประกายลังเลขึ้นมาหนึ่งส่วน “อากาศเย็นถึงเพียงนี้…”
เจาซีเอ่ยขึ้นทันควัน “ใช่แล้วเจ้าค่ะ ฮูหยิน ซื่อจื่อ อากาศเย็นเพียงนี้ จะให้ฮูหยินซื่อจื่อเดินกลับเองไม่ได้เด็ดขาดนะเจ้าคะ! ฮูหยินซื่อจื่อร่างกายอ่อนแอบอบบาง จะทนไหวที่ไหนเจ้าคะ”
เดิมทีนางคิดว่าหากพูดแบบนี้ออกไป ฉีจื่อฟู่จะเกิดความรู้สึกสงสาร และขอให้ฮูหยินโหวถอนคำสั่ง
กลับคิดไม่ถึงเลยว่าฉีจื่อฟู่เมื่อได้ยินแล้ว จะหันมองหรงจือจือและเอ่ยว่า “จือจือ อย่างที่สาวใช้ของเจ้าบอก เจ้าทนลมหนาวเย็นเยือกเช่นนี้ไม่ไหวหรอก!”
หรงจือจือทอดสายตามองไปยังบุรุษหนุ่มรูปงามที่ดูคล้ายจะอบอุ่นอ่อนโยนคนนี้นิ่ง ๆ ก่อนจะถามว่า “ท่านพี่หมายความว่า…”
ฉีจื่อฟู่ : “ตราบใดที่เจ้ายอมรับปาก ว่าวันรุ่งขึ้นจะตามข้าไปเข้าเฝ้าฝ่าบาท และแสดงเจตจำนงขอเป็นอนุภรรยาด้วยตนเอง ข้าจะขอให้ท่านแม่อนุญาตให้เจ้าขึ้นรถม้า!”
หรงจือจือเหยียดแผ่นหลังขึ้นตรงอย่างถึงที่สุด “หากข้าไม่ล่ะ?”
ฉีจื่อฟู่ตัดบท “เช่นนั้นหากเจ้าหนาวจนเป็นอันตราย และเกิดตายขึ้นมาระหว่างทาง ก็อย่าโทษว่าข้าไม่เตือนเจ้าแล้วกัน! สำหรับเจ้าแล้ว ตำแหน่งภรรยาเอก มันสำคัญกว่าชีวิตอย่างนั้นหรือ?”
หรงจือจือผุดยิ้ม นางไม่คิดเลยจริง ๆ ว่าฉีจื่อฟู่คนที่เมื่อสามปีก่อน ตอนก่อนออกจากเมืองหลวง เคยให้คำมั่นสัญญากับนางอย่างสัตย์จริงว่า ชีวิตนี้จะไม่มีวันทรยศนาง กลับมาวันนี้จะใช้อำนาจข่มขู่ตนเอง เพียงเพราะไม่ต้องการให้สตรีอีกคนหนึ่งต้องน้อยเนื้อต่ำใจเช่นนี้
น่าขันนักที่ตอนแรกนางยังอุตส่าห์คิดว่า เขาเป็นสุภาพบุรุษอบอุ่นอ่อนโยน
เห็นนางยิ้มเยาะเช่นนี้ ฉีจื่อฟู่รู้สึกขัดตาถึงขีดสุด “เจ้ายิ้มแบบนี้หมายความว่าอย่างไร?”
คล้ายกับว่ากำลังดูถูกดูแคลนตนอยู่อย่างไรอย่างนั้น!
บัดนี้นางถานขึ้นไปบนรถม้า แล้วเปิดหน้าต่างรถม้าออก และเอ่ยกับฉีจื่อฟู่ “ช่างเถิด ลูกแม่ มิต้องมากวาจากับนางแล้ว! เมื่อก่อนข้ายังเคยคิดว่านางมีคุณธรรมจริง ๆ กลับคิดไม่ถึงความจริงจะดีแค่เปลือกนอก”
“เจ้าจะเสียเวลาไปพูดกับนางเพื่ออะไรอีก? คนอย่างนาง ดื้อรั้นหัวแข็ง วันนี้แม่สามีกำลังพูดอยู่ก็กล้าพูดขัด แม้แต่คำขอร้องของสามีนางก็มิได้สนใจ ไร้ซึ่งหลักสามเชื่อฟังสี่จริยา[footnoteRef:1]” [1: สามเชื่อฟังสี่จริยา หมายถึง กรอบสังคมที่ใช้อบรมกุลสตรีชั้นสูง]
“เจ้าปล่อยให้นางหนาวตายอยู่ข้างทางไปเถิด อย่างน้อยหลังจากนี้ จะได้ไม่ต้องมีเรื่องวุ่นวายอะไรเกิดขึ้นในจวนของพวกเราอีก! นางผู้หญิงชั้นต่ำไร้ค่า วัน ๆ เอาแต่เสแสร้งว่าเป็นคนว่านอนสอนง่าย เสแสร้งเก่งจนข้ายังโดนหลอกไปด้วย!”
หนนี้นางถานโกรธกรุ่นจนเลือดขึ้นหน้าแล้วจริง ๆ ถ้อยคำที่ใช้ก่นด่าออกมายิ่งปราศจากความระมัดระวัง
ความโปรดปรานของฝ่าบาทจะสำคัญสักเพียงใดเชียว?
บุตรชายของนางนอนป่วยติดเตียงมานานหลายปี หมดหนทางร่วมสอบเข้าเป็นขุนนาง แต่กว่าจะฝ่าฟันจนมีวันนี้ได้ เป็นจารชนแฝงตัวเข้าไปจนได้ข้อมูลเป็นประโยชน์มากมายเพียงนั้นกลับมา ฝ่าบาทยังถึงขั้นจัดงานเลี้ยงต้อนรับให้ด้วยพระองค์เอง แต่บัดนี้มันอะไร ให้หรงจือจือเข้ามาก่อเรื่องวุ่นวาย จนทุกอย่างมันพังทลายหมดแล้ว!
เห็นนางถานใช้ถ้อยคำหยาบคายด่าทอหรงจือจือเช่นนี้ เจาซีโกรธกรุ่นจนขอบตาแดงก่ำ ทว่าอีกฝ่ายเป็นแม่สามีของคุณหนูของนาง แม้นางจะกล้าโกรธอีกฝ่ายแต่กระนั้นก็ไม่กล้าด่าสวนกลับไป
แม้หรงจือจือจะเตรียมใจกับความไร้มโนธรรมของครอบครัวนี้ไว้แล้ว แต่ก็คิดไม่ถึงเลยว่านางถานจะปากร้ายพูดจาไม่รักษาน้ำใจถึงเพียงนี้
และคราวนี้ฉีจื่อฟู่ยังเสริมอีกว่า “จือจือ เจ้าเองก็เห็นแล้วว่าท่านแม่เดือดดาลถึงเพียงนี้ หากเจ้ายังไม่ยอมรับคำขอร้องของข้าอีก ประเดี๋ยวต่อให้ข้าจะเมตตาเจ้าและขอร้องให้เจ้าได้ขึ้นรถม้า ท่านแม่ก็ไม่ฟังแล้ว!”
หรงจือจือเหลือบสายตามองเขา “รถม้าคันนี้ คิดว่าข้าจะขึ้นไม่ได้อย่างนั้นหรือ?”
ในเมื่อพวกเขาปฏิบัติเช่นนี้กับตนเอง หากเป็นเช่นนั้นแล้วนางก็ไม่มีทางเลือก ทำได้เพียงต้องทะนุถนอมตนเองแล้ว นางจะหนาวตายข้างทางไม่ได้เด็ดขาด หากท่านย่ารู้เข้าจะต้องปวดใจแน่
ฉีจื่อฟู่ผงะไป ยิ่งรู้สึกชัดเจนว่านางไม่มีท่าทีอ่อนโยนสุภาพเหมือนเมื่อก่อนอีกแล้ว
นางถานฟังหรงจือจือมาถึงตอนนี้ล้วนไม่มีความสำนึกผิดอยู่เลยแม้แต่น้อย ด้วยคำพูดหรือความหมายที่แฝงไว้ คล้ายกับจะดึงดันขึ้นรถม้าคันนี้ให้ได้ จึงยกนิ้วชี้หน้านางทันที “ข้าไม่ออกคำสั่ง ดูสิว่าเจ้าจะขึ้นมาอย่างไร!”
หรงจือจือจ้องนางถาน “แม่สามี ลูกสะใภ้หรงขอเตือนท่านไว้หนึ่งคำ ที่ท่านนั่งอยู่นั้น คือรถม้าของลูกสะใภ้!”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: โทษทีข้าเกิดมาต้องเป็นเมียเอกเท่านั้น