เฉียวตี้อี้เป็นคนแรกที่เอ่ยพูดขึ้นก่อน “ท่านพี่ นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ทำไมพวกเราถึงได้ยินเสียงคิดในใจของน้องสาว! และดูเหมือนว่าน้องสาวสามารถทำนายอนาคตได้ด้วย”
เฉียวเทียนจิงดูเหมือนจะสงบลงมากแล้ว เขาก้าวเท้าเดินไปอย่างช้า ๆ และก็หันมาเอ่ยถามว่า “น้องรอง นางเป็นน้องสาวของพวกเราใช่หรือไม่?”
เฉียวตี้อี้ถูกถามมาเช่นนี้จึงชะงักไปเล็กน้อย แต่ก็ตอบกลับไปโดยไม่ต้องคิดว่า “ย่อมใช่อยู่แล้ว นางเป็นน้องสาวที่คลอดออกมาจากครรภ์ท่านแม่ เป็นพี่น้องร่วมมารดาเดียวกันกับพวกเรานะ!”
เฉียวเทียนจิงพยักหน้า และพูดด้วยสีหน้าเรียบเฉยว่า
“แค่นั้นก็เพียงพอแล้วไม่ใช่หรือ? อาจเป็นเพราะสวรรค์เองก็ทนดูต่อไปไม่ได้เช่นกัน ที่ต้องทนเห็นตระกูลเฉียวที่จงรักภักดีทำเพื่อบ้านเมืองทั้งตระกูลต้องมาจบลงโดยการถูกตัดหัวประหารทั้งตระกูล ดังนั้นจึงส่งน้องสาวมาช่วยพวกเรา”
“น้องรอง วันนี้ข้าลองอ่านสีหน้าของท่านพ่อและท่านแม่อย่างละเอียดดูแล้ว ดูเหมือนพวกท่านจะไม่ได้ยินเสียงความคิดของน้องสาว ดังนั้นเรื่องนี้จะมีแค่เจ้ากับข้าที่รู้เท่านั้น อย่าได้แพร่งพรายเรื่องนี้ให้คนอื่นรับรู้เป็นอันขาด”
“มิฉะนั้นจะนำพาภัยอันตรายถึงชีวิตมาสู่น้องสาวได้ และคงนำภัยกวาดล้างทั้งตระกูลมาสู่ตระกูลเฉียวของพวกเราด้วย”
เฉียวตี้อี้พอเข้าใจความหมายของพี่ใหญ่แล้ว เขาพยักหน้าอย่างระมัดระวัง
“พี่ใหญ่วางใจได้ ข้ารู้ดีแก่ใจ นับจากนี้เป็นต้นไปข้าจะทุ่มเททั้งชีวิตของข้า รักและเอ็นดูน้องสาวของพวกเรา”
————
เฉียวเจียวเจียวตื่นขึ้นมาหลายครั้งกลางดึก นางสะลึมสะลือราวกับได้ยินเสียงของแม่นมหลิว
“ฮูหยินเป็นอย่างที่ท่านคาดไว้จริง ๆ ด้วย! โธ่ สวรรค์ บ่าวเห็นนางแพศยานั้นกับตาตัวเอง...”
“...อยู่ ๆ ในห้องก็เกิดเสียงร้องตกใจดังขึ้นมา ปรากฏว่าเป็นนายท่านที่เป็นคนจัดการหิ้วนางออกมาด้วยตัวเอง ตอนนี้กำลังระเบิดอารมณ์อยู่ที่เรือนใหญ่...”
สมองของเฉียวเจียวเจียวตามไม่ทันแล้ว นางบ่นพึมพำก่อนจะนอนหลับสนิทไปอีกครั้ง
เมื่อลืมตาอีกครั้งก็เป็นเช้าวันรุ่งขึ้นแล้ว ท้องฟ้าสว่างแล้ว
เฉียวเจียวเจียวรู้สึกว่ามีคนเขย่าตัวนางเบา ๆ และไม่นานใบหน้าที่ไว้หนวดเคราของท่านพ่อก็ปรากฏเข้ามาในสายตานาง
[อ๊ากกก! ท่านพ่อของข้าดูหล่อขึ้นมากเลยในตอนกลางวัน!]
เฉียวจงกั๋วค่อย ๆ ก้มศีรษะลงและก็เห็นเฉียวเจียวเจียวกำลังจ้องมองเขาด้วยดวงตากลมโต สีหน้าจึงอ่อนโยนลงทันที
เวลานี้มีเสียงร้องขอความเมตตาอย่างหวาดกลัวดังมาจากที่นี่ไม่ไกลนัก
“นายท่าน ขอให้ท่านเห็นแก่บ่าวกับหวาต้าที่ทำงานรับใช้อยู่ในจวนมานานกว่าสามสิบปี ละเว้นหลิ่วเอ๋อร์ยัยหนูคนนั้นด้วยเถอะ!”
“นางแค่หน้ามืดตามัวไปชั่วขณะ นางไม่ควรอย่างยิ่งที่จะมีความคิดสกปรกเช่นนี้ หลังจากบ่าวส่งนางกลับบ้านจะต้องสั่งสอนนางอย่างดีแน่นอน จะไม่ปล่อยให้นางมาทำตัวน่าอับอายขายขี้หน้าเช่นนี้อีก”
“นายท่านโปรดละเว้นชีวิตด้วย! นายท่านโปรดละเว้นชีวิตด้วย!”
เฉียวเจียวเจียวเบิกตากว้างเล็กน้อยเมื่อได้ยินสิ่งนี้
เมื่อเฉียวเทียนจิงได้ยินเช่นนี้ ถึงกลับต้องตกใจจนเหงื่อตกท่วมตัวทันที
เขาเป็นคนชอบงานเขียนวลีนอกกรอบ มีความสนใจถึงขั้นลงมือเขียนเอง และบทความที่เขียนเองก็พอมีอยู่บ้างแต่หลังจากเกิดเรื่องขึ้นก็มักจะรู้สึกไม่พอใจในผลงาน จึงสั่งให้คนในเรือนเอาไปเผาทิ้งจนหมด
ใครจะรู้ว่าการกระทำเล็ก ๆ น้อย ๆ เช่นนี้จะทำให้ตัวเองมีภัยถึงชีวิตในภายหลังเสียได้!
ตอนนี้เฉียวจงกั๋วโชคดีมาก ที่เขาอุ้มเฉียวเจียวเจียวมาด้วย
หลังจากนั้นเขาก็พูดด้วยน้ำเสียงทุ้มลึกว่า “หวาต้า เจ้าตอบข้าหน่อยสิ”
“ขอรับ ๆ ๆ นายท่านเชิญพูดมาได้เลยขอรับ” หวาต้าที่ยืนอยู่นอกห้องขานตอบด้วยความหวาดกลัวอย่างยิ่ง
เฉียวจงกั๋วจงใจแกล้งทำเป็นครุ่นคิดครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยถามว่า “ครอบครัวของพวกเจ้าทั้งครอบครัวอยู่ในจวนเฉียวมานานกว่าสามสิบปีแล้ว ในครอบครัวมีคนอยู่กี่คนที่กำลังทำงานอยู่ และทำอยู่ในส่วนไหนบ้าง?
เฉียวเจียวเจียวตาสว่างขึ้นมาทันทีเมื่อได้ยินคำถามนี้
[ท่านพ่อของข้าช่างมองการณ์ไกลจริง ๆ ละเอียดรอบคอบอย่างมาก มองทุกอย่างทะลุปรุโปร่งโดยแท้!]
[ถูกต้องแล้ว ต้องตรวจสอบพวกเขาทั้งครอบครัว หากจะถอนก็ต้องถอนทั้งรากทั้งโคนให้สิ้น จะต้องไม่ทิ้งอันตรายที่ซ่อนอยู่เอาไว้!]
เฉียวจงกั๋วได้ยินคำชมของลูกสาวของเขา ก็อดไม่ได้ที่จะดีใจขึ้นมา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: พลิกชะตาฝ่าลิขิตสวรรค์
จุติใหม่เป็นตัวประกอบในโลกนิยาย คือเรื่องเดียวกัน...
สถานะขี้นว่าเสร็จสิ้น คือไม่มีตอนต่อไปแล้วใช่ไมค่ะ...
รออัพเดทอยู่น๊า...