มู่เวยเวยพยักหน้าหลังจากฟังเย่ฉ่าวเหยียนพูดจบ จากนั้นก็คิดอะไรได้ จึงเปิดปากถาม "นายไม่เป็นไรใช่มั้ย"
เมื่อได้รับความเป็นห่วงจากเธอ หัวใจอันแข็งกระด้างของเย่ฉ่าวเหยียนก็ราวกับได้รับแสงแดดอันอบอุ่นส่องประกายเข้ามาในใจอันมืดมิดของเขา
"ผมไม่เป็นไร"
เย่ฉ่าวเหยียนมองหน้าเธอเงียบๆ และเกิดความอบอุ่นขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว
มู่เวยเวยรู้สึกถึงสายตาของเขาก็ตกตะลึงทันที จึงพูดว่า "งั้นก็ดีแล้วค่ะ"
นี่คือความในใจของมู่เวยเวย เธอหวังว่าเย่ฉ่าวเหยียนจะมีชีวิตที่ดี เขาเป็นคนแรกที่รักษามิตรภาพดีๆกับเธอ
หลังจากวันนั้นเย่ฉ่าวเหยียนก็มักมาคุยกับเธอที่ห้องเสมอ เขาบอกว่าไม่อยากให้มู่เวยเวยเหงา มู่เวยเวยที่ได้รับมิตรภาพดีๆจากเขาก็รู้สึกดีมาก
วันนี้ก็เหมือนทุกวัน เย่ฉ่าวเหยียนชงกาแฟมาที่ห้องของมู่เวยเวย ขณะที่เขากำลังจะเคาะประตู ก็ได้ยินเสียงเฉียวซินโยว "ฉ่าวเฉินคะ ฉ่าวเหยียนขยันไม่เบาเลยนะ ไปคุยกับมู่เวยเวยที่ห้องทุกวัน...."
เย่ฉ่าวเหยียนหันไปมองเธอ และทันเห็นประกายเย็นชาผ่านสายตาเธอพอดี เขายิ้มอย่างปกติ และถามเรียบๆว่า "พี่จะไปทำงานหรอ"
สายตาเย่ฉ่าวเฉินมองไปที่ถ้วยกาแฟสองแก้วในมือของเขา และพยักหน้าเบาๆถาม "เธอเป็นยังไงบ้าง"
เย่ฉ่าวเหยียนกระตุกยิ้ม ตอบตรงๆว่า "ดีมากแล้ว เมื่อวานตอนบ่ายหมอหานมาตรวจบอกว่าขาหายบวมแล้ว โชคดีที่การอักเสบไม่ลุกลาม"
ฟังเขาพูดจบ เย่ฉ่าวเฉินก็ไม่ได้มีปฏิกิริยาตอบกลับมากนัก แต่เฉียวซินโยวที่อยู่ข้างๆกลับหงุดหงิดขึ้น เมื่อเธอดูออกว่าที่เย่ฉ่าวเหยียนเป็นห่วงเป็นใยมู่เวยเวยในครั้งนี้เป็นเพราะมู่เวยเวยช่วยชีวิตเขา
แต่ท่าทางของเย่ฉ่าวเหยียน กำลังกระทบต่อแผนของเธอ
ถ้าเย่ฉ่าวเหยียนยืนอยู่ตรงกลาง เธอยังมีวิธีทำให้มู่เวยเวยออกไปจากบ้านตระกูลเย่ แต่ถ้าเย่ฉ่าวเหยียนยืนข้างมู่เวยเวย เรื่องก็จะยุ่งยากแล้ว....
ถ้าเย่ฉ่าวเหยียนเลือกจะสนับสนุนมู่เวยเวย ดูจากทีท่าที่เย่ฉ่าวเฉินที่ปฏิบัติต่อเย่ฉ่าวเหยียนแล้ว มีความเป็นไปได้มากที่เขาจะยอมทิ้งอคติที่มีต่อมู่เวยเวยเพื่อน้องชาย เพราะสาเหตุที่เขาเกลียดมู่เวยเวยก็เพื่อน้องชายทั้งนั้น
ทำยังไงดี
เฉียวซินโยวร้อนใจมาก เธอจะยอมปล่อยให้เรื่องนั้นเกิดขึ้นไม่ได้เด็ดขาด ไม่อย่างนั้นไม่ว่าเธอจะทำอะไร มู่เวยเวยก็เหมือนมียันต์กันตาย แล้วอย่างนี้เธอจะลงมือได้ยังไง
เหมือนว่าเธอต้องใช้แผนนั้นเท่านั้น...
เธอมองเย่ฉ่าวเหยียนเข้าไปในห้องของมู่เวยเวยแล้วยกยิ้มอย่างอ่อนหวานพูดกับเย่ฉ่าวเฉิน "ฉ่าวเฉินคะ ไหนๆพวกเราก็มาถึงหน้าห้องของเวยเวยแล้ว เข้าไปดูเธอหน่อยดีมั้ยคะ"
ได้ฟังอย่างนี้เย่ฉ่าวเฉินก็ไม่ได้คัดค้าน ดังนั้นทั้งคู่จึงเดินเข้าห้องมู่เวยเวยไป
มู่เวยเวยขมวดคิ้วทันทีที่เห็นทั้งคู่ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมานอกจากจิบกาแฟที่เย่ฉ่าวเหยียนเอามาให้
"เวยเวยเธอดีขึ้นรึยัง"
เฉียวซินโยวพยายามปั้นยิ้มและพูดน้ำเสียงอ่อนโยน
เธอมองเฉียวซินโยวตีสองหน้าแล้วแอบหัวเราะเยาะในใจ พลางแสร้งแสดงใบหน้าซาบซึ้ง และตอบอย่างอบอุ่น "ฉันดีขึ้นมากแล้ว ต้องขอบคุณเย่ฉ่าวเหยียนที่ช่วยดูแลช่วงนี้"
"คุณเป็นพี่สะใภ้ผม...ผมต้องดูแลคุณอยู่แล้ว..."
มู่เวยเวยได้ฟังก็รู้สึกเขินขึ้นมา ทำไมเธอถึงรู้สึกว่าประโยคนี้มันแปลกๆ
หึหึ...ใครๆก็แสร้งมีศีลธรรมและใจดีได้ทั้งนั้น....
เมื่อเห็นปฏิกิริยาของทั้งคู่ เฉียวซินโยวก็รู้สึกราวกับถูกงูเห่ากัด มันเจ็บปวดจนรับไม่ไหว เธอยังคงยิ้มเหมือนเดิมแค่หน้า และพูด "ตอนนี้มู่เวยเวยเหลือแค่พี่ชายคนเดียว แล้วก็ไม่ได้เจอกันมาหลายปีแล้ว โชคดีจริงๆที่ตอนนี้ได้น้องชายมาดูแลเอาใจใส่อีกคน"
มู่เวยเวยใจสั่นขึ้นมาทันทีที่ได้ยินเฉียวซินโยวพูดถึงพี่ชายของเธอ แต่เพียงไม่นานเธอก็กลับมาเป็นปกติ และปล่อยให้เธอพูดต่อ
เฉียวซินโยวกำลังจะพูดต่อ แต่ถูกเย่ฉ่าวเฉินพูดตัดบทสนทนาซะก่อน "ใกล้ได้เวลาทำงานแล้ว พวกเราไปบริษัทก่อน"
เฉียวซินโยวรู้สึกไม่ค่อยพอใจเมื่อโดนเขาพูดแทรก แต่ก็ไม่กล้าแสดงออกมามากนัก ดังนั้นจึงพูดว่า "คุยเพลินจนลืมเวลาเลย งั้นพวกเธอคุยกันไปเถอะ พวกเราไปบริษัทแล้ว"
เมื่อขึ้นรถแล้วเย่ฉ่าวเฉินก็พูดอย่างไม่เข้าใจ "คราวหน้าอย่าพูดถึงมู่เทียนเย่ต่อหน้าฉ่าวเหยียนอีก เข้าใจมั้ย"
ได้ยินเขาพูดอย่างนี้ เฉียวซินโยวก็ใจสั่นขึ้นมาทันที เธอรู้จักเย่ฉ่าวเฉินดี ยิ่งเขานิ่งก็แสดงว่าในใจเขายิ่งไม่พอใจ ครั้งนี้เธอปล่อยอารมณ์มากเกินไป
เฉียวซินโยวฉีกยิ้มหวานออกมา และพูดอย่างสำนึกผิด "ฉันเป็นเพื่อนรักเวยเวยนะ...นานๆทีจะเห็นคนทำดีกับเธออย่างนี้ ตอนนั้นเลยพูดออกมาไม่ทันคิด ฉันรู้แล้วค่ะ...ฉ่าวเฉินอย่าโกรธสิคะ"
หัลงจากเห็นว่าเฉียวซินโยวยอมรับผิด เย่ฉ่าวเฉินก็มีสีหน้าอ่อนโยนลงมามาก เขาพูดเบาๆว่า "ผมไม่ได้โกรธ แค่ไม่อยากให้มีอะไรเกิดขึ้นกับฉ่าวเหยียนอีก คุณเข้าใจมั้ย"
เฉียวซินโยวพยักหน้าลงทันที และตอบ "เข้าใจค่ะ"
ใบหน้าของเธอเชื่อฟัง แต่ในใจกลับไม่ได้เป็นอย่างนั้น เธอต้องทำให้เย่ฉ่าวเหยียนรู้ให้ได้ว่าพี่ชายของมู่เวยเวยคือมู่เทียนเย่ แต่เธอต้องทำเป็นการส่วนตัว ห้ามทำพลาดอย่างวันนี้อีก...
เย่ฉ่าวเฉินดึงสติจดจ่ออยู่กับการอ่านหนังสือพิมพ์ เรื่องเมื่อกี้ทำเขาหดหู่จริงๆ เขาจึงต้องปิดบังความรู้สึกไว้ เมื่อกี้เฉียวซินโยวไม่ได้ตั้งใจเลย เขาจะว่าก็พูดไม่ออก....
ถ้าเธอตั้งใจล่ะ ใจของเย่ฉ่าวเฉินกระตุกขึ้นมาทันที จากนั้นสมองของเขาก็ลบความคิดนี้ออกไปโดยอัตโนมัติ เขาไม่มีทางเป็นอย่างที่ลู่จื่อหางพูด เขาไม่มีทางโดนผู้หญิงปั่นหัวเล่น....
"ฉ่าวเฉินฉันรู้สึกว่าคุณเปลี่ยนไป ฉันรู้สึกว่าคุณกำลังระแวงฉัน ฉันเสียใจจริงๆ" เฉียวซินโยวแสร้งทำหน้าเสียใจ และพูดตัดพ้อ
เย่ฉ่าวเฉินมองเธอนิ่งๆ และพูดเสียงเรียบ "อย่าคิดไปเอง"
เมื่อได้ยินเขาพูด เฉียวซินโยวก็ทำหน้ามุ่ย แล้วพูด "ฉันคิดไปเองที่ไหน เมื่อก่อนฉ่าวเหยียนได้รับความทรมานขนาดนั้น สองวันก่อนก็เกือบเกิดเรื่อง ฉันก็แค่เสียใจแทนเขา...."
"สองวันก่อนมู่เวยเวยเป็นคนช่วยเขา"
เฉียวซินโยนพยายามไม่กลอกตา และพูดต่อ "เวยเวยอาจจะรู้สึกผิดรึเปล่า ที่ฉ่าวเหยียนทรมานขนาดนั้น ก็ไม่ใช่ว่าไม่เกี่ยวกับเธอเลย"
เย่ฉ่าวเฉินขมวดคิ้วทันทีที่ได้ยินคำพูดของเฉียวซินโยว เขาจ้องเข้าไปในดวงตาของเฉียวซินโยว ดวงตาสีฟ้าของเขาส่องประกายมืดมิด และพูดเสียงต่ำลงมาก "คุณรู้ได้ยังไง"
เมื่อโดนถามอย่างนี้ สมองเฉียวซินโยวก็กระตุกฉับพลัน เธอถามอย่างสงสัย "คุณพูดอย่างนี้หมายความว่ายังไง"
เย่ฉ่าวเฉินอธิบายต่อ "ทำไมคุณถึงรู้ว่าความทรมานของฉ่าวเหยียนเกี่ยวข้องเวยเวยด้วย คุณรู้อะไรมา เรื่องนี้ใครเป็นคนบอกคุณ"
เย่ฉ่าวเฉินถามสามคำถามในประโยคเดียว ทำให้เฉียวซินโยวตกใจทันที เธอแอบด่าตัวเองยกใหญ่ที่เผลอพูดเรื่องนี้หลุดปากไป
เมื่อโดนเย่ฉ่าวเฉินมองมาอย่างสงสัย เฉียวซินโยวก็บังคับตัวเองให้สงบลง และพยายามหาเหตุผลที่ดีมาอธิบาย เธอตอบอย่างกล้าๆกลัวๆ "ฉัน....มีครั้งนึงที่ฉันได้ยินพวกป้าๆคุยกันเรื่องนี้ค่ะ จากนั้นก็จำขึ้นใจ ฉ่าวเฉินคะ คุณเชื่อใจฉันใช่ไหม"
เมื่อได้ฟังคำอธิบายของเฉียวซินโยว ครั้งนี้เขากลับไม่ได้เป็นเหมือนปกติ ถึงจะบอกว่าเชื่อเธอ แต่เขาก็ยังมีความสงสัยลึกๆในใจ
ถ้าเฉียวซินโยวพูดถึงคนนอกเขาอาจจะเชื่อ แต่เธอกลับพูดถึงแม่บ้านในบ้านตระกูลเย่ ซึ่งทุกคนอยู่ในบ้านมามากกว่าสิบปีแล้ว เขารู้จักนิสัยของทุกคนดี
พวกปากหอยปากปูเขาไม่เคยปล่อยให้อยู่ในบ้านต่อ เขาเป็นคนเข้มงวดมาก และจับสังเกตุทุกคนในบ้านมาตลอด ถ้าใครกล้าพูด เขาต้องได้ข่าวมานานแล้ว...
ถ้าไม่เคยได้ข่าวเรื่องนี้มาก่อนก็แสดงว่าเฉียวซินโยวกำลังโกหก
เมื่อคิดถึงตรงนี้ เขาก็กลับมาคิดย้อนถึงตัวเอง หรือว่าเมื่อก่อนเขาจะเชื่อใจเฉียวซินโยวมากเกินไป ผู้หญิงคนนี้กำลังมีอะไรบางอย่างปกปิดเขา เขาต้องมองเธอใหม่อีกครั้ง
.......
เย่ฉ่าวเฉินกับมู่เวยเวยเริ่มใกล้ชิดกันมากขึ้น เฉียวซินโยวรู้สึกว่าเธอไม่สามารถดำเนินตามแผนต่อไปได้แล้ว ไม่อย่างนั้นทุกอย่างจะพังพินาศ ตอนนี้เธอต้องไปคุยกับเย่ฉ่าวเหยียน
วันนี้เธอแอบตามเย่ฉ่าวเหยียน และเห็นว่าเขาไม่ได้ไปหามู่เวยเวยเหมือนเคย แต่กลับมานอนหลับตาอย่างสบายบนเตียงผ้าใบในสวนดอกไม้แทน
เฉียวซินโยวยกยิ้มขึ้นทันที โอกาสมาถึงแล้ว เธอเดินไปยืนพิงต้นปาล์มอันอุดมสมบูรณ์ที่อยู่ข้างๆเขา และพูดอย่างอ่อนโยน "บรรยากาศที่นี่เหมาะแก่การหลับตาพักผ่อนจริงๆ"
เย่ฉ่าวเหยียนใส่ผ้าปิดตาทำให้ไม่สามารถมองเห็นสีหน้าเขาได้ เขาพูดเสียงเรียบว่า "ซินโยว ทำไมวันนี้คุณไม่ไปบริษัท"
เย่ฉ่าวเหยียนฟังเสียงเท้าที่ดังไกลออกไปเรื่อยๆ แล้วยกยิ้มขึ้นมา เขาหยิบโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋า และกดหมายเลขโทรออกอย่างรวดเร็ว "อาเหวินช่วยไปหาเบาะแสของมู่เทียนเย่ให้ผมหน่อย ได้ข่าวอะไรแล้วรีบมาบอกผมทันที"
เมื่อปลายสายตอบรับแล้ว เขาวางสาย และค่อยพลิกตัวหลับตาทันที
เมื่อกี้สิ่งที่เขาไม่ได้บอกก็คือ มู่เวยเวยได้พบเพื่อนสนิทสุดพิเศษแบบนี้ มันช่างเป็นความโชคร้ายที่สุด เธอคิดจะหักหลังเพื่อนทุกวินาที เธอเป็นคนที่หาที่สุดไม่ได้จริงๆ...
จากที่เขารู้จักมู่เวยเวย การที่เธอรู้จักเฉียวซินโยว ปกติเธอคงจะเสียเปรียบไม่น้อย
.......
จากการพักรักษาตัวมาระยะหนึ่ง ในที่สุดขาของมู่เวยเวยก็กลับมาเป็นปกติ คนที่ไม่อยากอยู่บ้านอย่างเธอไปโรงพยาบาลเพื่อตามผลทันที และผลก็ออกมาว่าขาขวาของเธอกลับมาหายเป็นปกติแล้ว จากนั้นมู่เวยเวยก็เรียกแท้กซี่ไปบริษัท
หลังลงจากรถผ่านประตูบริษัทเข้ามา มู่เวยเวยก็ได้ยินเสียงดังเอะอะโวยวายดึงดูดความสนใจของเธอ เธอเห็นชายหญิงวัยกลางคนคู่หนึ่งแต่งกายซอมซ่อกำลังมีปัญหากับยามอยู่ และบรรยากาศก็กดดันมากขึ้นเรื่อยๆ
เธอเห็นผู้ชายวัยกลางคนคนนั้นกำลังป้องกันถุงหนังในมืออยู่ ใบหน้าของเขาร้อนรน และพูดอย่างวิตกกังวล "คุณครับ ขอร้องหละ...ผมมาหาลูกสาวจริงๆ ลูกสาวของผมทำงานอยู่ในนี้ คุณช่วยไปบอกให้ผมหน่อยเถอะ"
หญิงวัยกลางคนจับแขน รปภ.และร้องไห้น้ำตานอง "ฉันไม่ได้เจอลูกสาวมานานแล้ว....ขอร้องให้พวกเราเจอหน่อยเถอะ"
รปภ.มองพวกเขาด้วยความดูถูกและรังเกียจ เขาพูดอย่างแร้งน้ำใจ "ที่นี่ไม่ใช่ที่ที่ใครจะเข้าก็เข้าได้ ตรงนี้มีแต่คนมีฐานะอยู่ ลูกสาวพวกแกจะอยู่นี่ได้ยังไง พวกแกเป็นมิจฉาชีพใช่มั้ย ถ้ายังไม่ปล่อย ฉันจะแจ้งตำรวจ..."
เมื่อเห็นท่าทีดุดันของรปภ.ทั้งสองก็รีบปล่อยมือทันทีด้วยความกลัว แต่สีหน้าของทั้งคู่ก็ยังคงไม่เปลี่ยน "ขอร้องล่ะ ช่วยไปบอกให้พวกเราหน่อย ลูกสาวพวกเราอยู่ข้างในจริงๆ"
"พวกแกยังไม่จบใช่มั้ย....ถ้ายังไม่ไป ฉันจะลงมือแล้วนะ" รปภ.แสดงท่าทีอย่างโหดร้าย พลางยกกระบองในมือขึ้นมาทำท่าจะตี
แววตาที่เต็มไปด้วยน้ำตาของทั้งคู่สั่นระริกด้วยความกลัว ไม้กระบองกำลังจะพาดลงมาที่ตัวทั้งคู่ แต่ทันใดนั้นก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นมาห้าม พร้อมกับการปรากฏตัวข้างหลังของทั้งคู่
"หยุด"
รปภ.หยุดมือแล้วหันไปมองคนที่เข้ามาใหม่ เมื่อเห็นว่าคนที่มาคือภรรยาของประธานเย่ เขาก็ขาอ่อน พูดอย่างกังวลทันที "คุณหนูมาทำงานแล้วหรอครับ"
ข่าวการแต่งงานของมู่เวยเวยกับเย่ย่าวเฉินดังมาก ถึงขนาดได้ลงหนังสือพิมพ์ทุกฉบับ ดังนั้นมู่เวยเวยจึงไม่แปลกใจที่รปภ.รู้จักเธอ
มู่เวยเวยไม่ได้ตำหนิอะไร เธอสูดหายใจเข้าลึกๆ และพูดอย่างเคร่งเครียด "ไปทำงานต่อเถอะ ตรงนี้ฉันจัดการเอง"
เมื่อได้ฟังคำพูดของมู่เวยเวย รปภ.ที่เสียใจแทบหลั่งน้ำตาก็รีบค้อมตัวจนถึงเอว แล้วหันหลังเดินจากไปทันที เขาคิดว่ามันไม่ง่ายเลยกว่าจะได้งานมาได้เขาไม่อยากเสียมันไป
เมื่อ รปภ.เดินไปแล้ว คู่สามีภรรยาก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก มองใบหน้าที่สวยงามของมู่เวยเวย และรีบพูด "หนูจ๊ะ หนูเป็นคนดีจริงๆ เมื่อกี้ขอบคุณมากจริงๆนะ"
เมื่อเห็นคนขอบคุณอย่างจริงใจ มู่เวยเวยก็รู้สึกไม่สบายใจ เธอรีบพยุงทั้งคู่ขึ้นมาจากพื้น แล้วนึกถึงเรื่องเมื่อครู่ขึ้นมาได้จึงถาม "คุณลุงคุณป้ามาจากที่ไหนคะ มาหาใครที่นี่"
เมื่อเห็นมู่เวยเวยถาม และท่าทีของเธอก็ไม่ได้เลวร้าย สองสามีภรรยาก็พูดออกมาอย่างไม่ปิดบัง และยังคาดหวังว่าหญิงสาวคนนี้จะช่วยพวกเขาได้....
"พวกเรามาจากบ้านนอก หลังจากลูกสาวของเราเข้ามหาลัยก็ไปกลับบ้านอีกเลย จากนั้นก็ได้ยินเพื่อนร่วมชั้นของเธอกลับบ้านไปบอกว่า ลูกสาวของพวกเราเรียนจบแล้ว ตอนนี้ทำงานอยู่ในบริษัทใหญ่ เราก็เลยหาจนได้ความว่าลูกสาวของเราทำงานอยู่ที่นี่"
ชายวัยกลางคนพูดด้วยตาแดงก่ำ ภรรยาที่อยู่ข้างๆก็เสียใจมาก จนต้องยกขอบเสื้อขึ้นมาเช็ดน้ำตา
"ลูกสาวของเราไม่ได้กลับบ้านมาสี่ปีกว่าแล้ว ฉันกับสามีทั้งเป็นห่วงทั้งคิดถึง แต่พวกเราไม่มีเงิน เพราะนี่ไม่ใช่หน้าเก็บเกี่ยว พวกเราต้องเอาเงินซื้ออาหาร และพยายามอย่างหนักกว่าจะมาที่นี่ได้ แต่คนเมื่อกี้ไม่ยอมให้พวกเราเข้าไป...."
หญิงวัยกลางคนพูดถึงตรงนี้ก็สะอึกสะอื้นไม่สามารถพูดต่อได้ ได้แต่เอาเสื้อขึ้นมาซับน้ำตา เมื่อเห็นท่าทางของสองสามีภรรยา มู่เวยเวยก็รู้สึกเห็นใจมาก
พ่อแม่ของเธอเสียไปนานมากแล้ว จากนี้เธอไม่สามารถรับความรักจากพวกเขาได้อีก แต่สองสามีภรรยาคู่นี้กลับต้องทำถึงขนาดนี้เพื่อลูกของตัวเอง
มู่เวยเวยสงสารมาก เธอปลอบทั้งคู่ พลางพูดไปด้วย "สบายใจเถอะค่ะ ถ้าลูกสาวของพวกคุณอยู่ที่นี่จริงๆ หนูจะช่วยหาให้เจอแน่นอน"
เมื่อได้ยินว่ามู่เวยเวยเต็มใจช่วย ทั้งคู่ก็ดีใจมาก รีบขอบคุณทันที
"แต่ในบริษัทคนมีพันกว่าคนเลยค่ะ ลูกสาวของพวกคุณชื่ออะไรคะ หรือมีรูปดีๆของเธอมั้ย หนูจะได้ช่วยหาได้เร็วๆ พวกคุณจะได้ได้เจอหน้ากัน"
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: วิวาห์สายฟ้าแลบ กับคุณสามีผู้ลึกลับ
ขอบคุณแอดค่ะ...สนุกค่ะ......
สนุก...