" ไม่ " ยังคงเป็นคำตอบเดิม
เย่ฉ่าวเฉินเอนหลังพิงพนักเก้าอี้และความโกรธที่มีต่อมู่เทียนเย่แทบจะสลายไปหมดแล้ว
" ตอนนี้อยู่ที่ไหน? "
" แถวๆถนนเจียงหนาน เวยเวยนั่งรถมาถึงแถวนี้ จากนั้นรถก็หายสาบสูญไปเพราะคาดสายตา " เย่พูดอย่างอ่อนแรง
" ถนนเจียงหนาน? " มู่เทียนเย่ถามกลับ
" อือ นายคิดออกไหมว่าเธอจะไปที่ไหน? "
" ถนนเจียงหนาน......" มู่เทียนเย่พึมพำ ทันใดนั้นก็มีแสงสว่าง " ฉันรู้แล้ว คฤหาสน์ที่เราเคยอยู่กับคุณพ่อคุณแม่ก็อยู่แถวนั้น ไม่แน่เวยเวยอาจจะไปที่นั่นก็ได้ ฉันก็ต้องตามไปดูสักหน่อย"
" เจ้าใจแล้ว ฉันจะไปเดี๋ยวนี้ "
พอมีความหวังแล้ว เย่ฉ่าวเฉินก็มีเรี่ยวแรงทันที แต่ว่าเขาเคยไปคฤหาสน์ตระกูลมู่นั้นแค่ครั้งเดียวเอง อีกทั้งตอนนั้นยังเป็นครั้งที่กลับบ้านกับพร้อมมู่เวยเวยหลังจากที่พึ่งแต่งงานกัน ไปตามความทรงจำที่เลือนราง เวลาผ่านไปครึ่งชั่วโมง เสี่ยวฟางก็ขับรถมาจอดหน้าประตูคฤหาสน์
เย่ฉ่าวเฉินพึ่งงบจากรถ ก็เห็นรถเบนท์ลีคันสีดำขับเข้ามา เป็นรถของมู่เทียนเย่
เย่ฉ่าวเฉินชำเลืองตามองเขาด้วยความโกรธแวบหนึ่ง จากเดินก็ก้าวเท้าเดินเข้าไปคฤหาสน์
แต่ว่าเขาไม่มีรหัสผ่านคฤหาสน์ เลยต้องหยุดรอเมู่เทียนเย่
ภายในรั้วเหล็ก มีสนามหญ้าที่ราบเรียบ ในสวนดอกมีมีดอกเดซี่กำลังเบ่งบาน ในอากาศที่ร้อนมีกลิ่นหอมของดอกไม้โชยมา
ตั้งแต่ที่มู่เทียนเย่กลับมา เขาก็ให้คนมาจัดสถานที่ใหม่ให้เป็นเหมือนตอนที่พ่อและแม่เขายังอยู่ ในทุกๆสองวันจะมีคนมาทำความสะอาดและตัดหญ้า
สถานที่นี้เป็นที่ที่ครอบครัวอาศัยอยู่ เขาไม่อยากให้มันพังทลายลง บางเวลาถ้าเขาคิดถึงพ่อกับแม่เขาก็จะมานอนค้างที่นี่
สีหน้าของมู่เทียนเย่ที่มีต่อเย่ฉ่าวเฉินก็ไม่ได้ดีเท่าไหร่ ใส่รหัสผ่านสี่ตัว ประตูเหล็กก็เปิดออก
พอถึงหน้าประตูคฤหาสน์แล้ว ยังมีประตูไม้อีกบานหนึ่ง มู่เทียนเย่กดรหัสผ่านอีกครั้งหนึ่ง ทั้งสองเดินเข้าไป
ในคฤหาสน์ไม่มีเครื่องปรับอากาศ อากาศเลยค่อนข้างอบอ้าว
เดินผ่านเข้ามาตรงห้องรับแขก ฝีเท้าของทั้งสองก็หยุดนิ่ง
มีผู้หญิงคนหนึ่งนอนอยู่บนโซฟา และไม่ใช่คนอื่น คือมู่เวยเวยนั่นเอง
รองเท้าของเธอถอดทิ้งไว้บนพรมอย่างกระจัดกระจาย บนตัวก็ไม่ได้ห่มอะไรไว้เลย
วินาทีที่เจอเธอ เย่ฉ่าวเฉินและมู่เทียนเย่ก็โล่งอก มู่เทียนเย่เดินเข้าไปก่อน และพึ่งเห็นว่ามือของเธอถือกรอบรูปอยู่ ค่อยๆเอาออกมาอย่างเบามือ เป็นภาพถ่ายพร้อมหน้าพร้อมตาสี่คนของพวกเขา
คุณพ่อคุณแม่ในภาพยังเป็นหนุ่มเป็นสาวกันอยู่ บนตัวเขาสวมชุดนักเรียนมัธยมปลาย ส่วนเวยเวยใส่กระโปรงลายดอกไม้ ใบหน้าของทั้งสี่คนเต็มไปด้วยรอยยิ้มแห่งความสุข
เหมือนกัยว่ามู่เวยเวยจะรู้สึกได้ว่ามีคนมา ลืมตาขึ้นอย่างสะลึมสะลือ ก็เห็นพี่ชายที่กำลังยิ้มอยู่ " พี่ชาย พี่มาแล้วหรอ "
มู่เทียนเย่ย่อตัวลงตรงหน้าเธอ " ยัยผู้หญิงซื่อบื้อ ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่? "
" ฉันคิดถึงพ่อกับแม่ "น้ำเสียงของมู่เวยเวยนุ่มนวลมากผสมกับเสียงงัวเงียที่พึ่งตื่นนอน ทำให้มู่เทียนเย่รู้สึกเศร้าไปด้วย
มู่เวยเวยตกเข้าไปในความทรงจำครั้งนั้น " ฉันจำได้ว่าเมื่อก่อนเราทั้งสี่คนชอบมานั่งเล่นไพ่ตรงนี้ด้วยกัน ถ้าใครแพ้ก็จะโดนเขียนข้อความติดที่ตัว แม่โชคไม่ดี บนหน้าผากมักจะมีกระดาษข้อความติดเต็มไปหมด"
มู่เทียนเย่ก็คิดถึงเรื่องราวแต่ก่อน เขายิ้ม " นั่นเป็นเพราะว่าเธอโกง ไม่อย่างนั้นแม่จะแพ้ได้ไง? "
" ใช่ แม่รักฉันมากที่สุดแล้ว " มู่เวยเวยที่กำลังหัวเราะอยู่ น้ำตาก็ร่วงลงมา " พี่ชาย ถ้าแม่ยังอยู่จะดีมาก ฉันก็จะยังได้กินซี่โครงตุ๋น มีเรื่องในใจก็เข้าไปกอดแล้วพูดให้ท่านฟังได้ และท่านก็จะสอนฉันว่าต้องเลี้ยงลูกอย่างไร......"
มู่เทียนเย่ห้ามน้ำตาไม่ให้ไหล แล้วเอื้อมมือไปเช็ดน้ำตาให้เธอ จากนั้นก็พูดอย่างอ่อนโยน " พี่ก็หวังเสมอว่าถ้าพวกท่านอยู่มันต้องดีมากแน่ๆ แต่ว่า เวยเวย ไม่ว่าพวกท่านจะอยู่หรือไม่อยู่แต่ความรักที่พวกท่านมีให้เราจะคงอยู่ตลอดไป "
" ฉันรู้ ฉันรู้ " น้ำตามู่เวยเวยไหล " แต่ว่าฉันอยากให้พวกท่านมายืนอยู่ตรงหน้าฉัน ไม่ได้อยากให้อยู่แค่ในความทรงจำ "
มู่เทียนเย่เปลี่ยนท่ามานั่งคุกเข่าลงบนพรมพื้น และกอดน้องสาวไว้ ลูปหลังเธอเบาๆ " ไม่เป็นไรนะ พี่จะอยู่ข้างงๆเธอตลอดไป "
เย่ฉ่าวเฉินที่ยืนอยู่ตรงทางเข้าพอเห็นภาพนี้แล้วใจก็สลาย เวยเวยต้องเสียใจมากแค่ไหนถึงได้มาที่นี่เพื่อรำลึกถึงความอบอุ่นของพ่อแม่เธอ "
เขาอยากจะไปผลักมู่เทียนเย่ออก แล้วกอดภรรยาไว้เอง แต่ว่าขาของเขาเหมือนมีของหนักๆทับอยู่ ทำยังไงก็ยกไม่ขึ้น
มู่เทียนเย่ปลอบมู่เวยเวยอยู่สักพัก พอเธอหยุดร้องแล้ว ก็หันหลังไปมองเย่ฉ่าวเฉิน แล้วส่งสายตาเป็นสัญญาณว่าให้เขาเข้ามา
เย่ฉ่าวเฉินเดินเข้ามาหาภรรยาด้วยความรู้สึกผิดและเสียใจแล้วพูดเบาๆว่า " เมียจ๋า "
มู่เวยเวยเช็ดน้ำตา แล้วเธอก็หันหลังให้เขาโดยไม่พูดอะไร
มู่เทียนเย่พูดอย่างจริงใจว่า " สามีภรรยาทะเลาะกันเป็นเรื่องปกติมาก แต่ว่าถ้ามีปัญหากันก็ต้องหันหน้ามาคุยกัน อย่าเงียบและไม่สนใจกัน ถ้าเป็นแบบนั้นจะเสียความรู้สึกกันทั้งคู่
เย่ฉ่าวเฉินมองไปที่มู่เทียนเย่ด้วยความประหลาดใจ โอ้พระเจ้า ไอ้นี่พูดแบบนี้เป็นด้วยหรอ เขาคิดว่ามู่เทียนเย่จะดุเขาจากนั้นก็พามู่เวยเวยออกไปสะอีก
" ที่รัก ฉันผิดไปแล้ว ผิดไปแล้วจริงๆ เธอจะทุบตีหรือด่าฉันยังไงก็ได้ แต่ว่าอย่าโกรธฉันเลยได้ไหม? " เย่ฉ่าวเฉินพูดอย่างจริงใจ เขาไม่กลัวเสียศักดิ์ศรี ขอแค่มู่เวยเวยมีความสุข ไม่เพียงแต่ให้เขาคุกเข่า ถ้าให้เข่าลงไปกลิ้งกับพื้นสักสองรอบเขาก็ยินดี
มู่เวยเวยมองไปที่กิ่งไม้ที่แกว่งไปมาท่ามกลางลมแรงนอกหน้าต่าง ในใจรู้สึกอึดอัดมาก แต่ก็ยังไม่ได้พูดอะไร
เย่ฉ่าวเฉินพึ่งจะเอื้อมไปจับมือเธอ แต่มู่เวยเวยก็กลับสะบัดออก
หัวใจของชายคนนั้นบิดเป็นเกลียว " ขอโทษ เมื่อคืนฉันไม่น่าโมโหใส่เธอเลย ไม่ควรเดินออกไปแบบนั้น......"
ยังไม่ทันได้พูดจบ มู่เทียนเย่ก็พูดออกมาด้วยความโกรธ " อะไรนะ? นายโมโหใส่น้องสาวฉันหรอ? นายยังมีจิตสำนึกอยู่ไหม? เธอกำลังตั้งท้องลูกของนายอยู่ นายดุเธอได้ยังไง? "
" ฉันไม่ได้ดุเธอ " เย่ฉ่าวเฉินรีบอธิบาย " ฉันก็แค่พูดใส่อารมณ์ไปหน่อย ฉันจะดุด่าเธอได้ยังไง? "
" เหอะ! " มู่เทียนเย่สบถออกมาอย่างเย็นชา " ไม่น่าล่ะน้องสาวฉันถึงได้หนีออกมาอย่างเสียใจแบบนี้ ที่แท้ก็เป็นแบบนี้นี่เอง "
เย่ฉ่าวเฉินงง ไอ้นี่เมื่อกี้ยังเข้าข้างเขาอยู่เลยไม่ใช่หรอ? ทำไมตอนนี้เธอเปลี่ยนไปแล้วล่ะ?
เมื่อนึกถึงต้นตอของการทะเลาะกัน เย่ฉ่าวเฉินก็รู้สึกโกรธ " เป็นเพราะนายนั้นแหละ นายพูดอะไรมั่วๆต่อหน้าเวยเวย? ฉันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าผู้หญิงสองคนนั้นจากสำนักเลขาธิการนั้นเป็นใคร ทำไมนายต้องพูดว่าฉันกับพวกเธอมีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกัน? "
มู่เทียนเย่หัวเราะเยาะ " นายหลอกคนโง่หรอ? ผู้หญิงสองคนนั้นเดินเข้าออกห้องทำงานคุณเป็นว่าเล่น คุณจะไม่รู้จักได้ไง? "
ทันใดนั้นเย่ฉ่าวเฉินก็รู้สึกว่าเขาไม่สามารถโต้แย้งได้ " จริงๆ ฉันไม่ได้สังเกตด้วยซ้ำว่าพวกเธอหน้าตาเป็นยังไง แต่นายพูดเหมือนกับว่ากำลังมีชู้ยังนั้นแหละ "
" จากที่ฉันดู เป็นเรื่องที่ไม่ช้าก็เร็วนั้นแหละ "มู่เทียนเย่ยืนกอดอก แล้วใช้สายตาที่ดูถูกมองเขา
" เชี่ย! " เย่ฉ่าวเฉินสบกออกมาด้วยความโกรธ และลุกขึ้นจากพื้น " มู่เทียนเย่ นายพูดดีๆหน่อย อะไรเป็นเรื่องที่ไม่ช้าก็เร็ว? "
" ได้ ถ้าอย่างนั้นฉันก็จะพูดให้ฟัง "
เดิมที วันนั้นมู่เทียนเย่ไปหาเย่ฉ่าวเฉิน นั่งรอให้เขาว่างอยู่ตรงโซฟา ใครจะไปรู้ว่าเย่ฉ่าวเฉินไม่มีเวลาสนใจเขาด้วยซ้ำ ในระหว่างนั้น มีเลขาคนสวยคนหนึ่งเติมน้ำชาให้เขาอยู่สองครั้ง ครั้งแรกที่เธอเดินออกไป เขาเหลือบไปมองเย่ฉ่าวเฉินแวบหนึ่ง ในดวงตาของเธอมีประกายบางอย่างราวกับว่ากำลังมองคนที่ตัวเองรัก ตอนนั้นมู่เทียนเย่ก็ตะลึง แต่ว่าจากพฤติกรรมของเย่ฉ่าวเฉินแล้ว เย่ฉ่าวเฉินไม่ใช่คนแบบนั้น เขาต้องคิดไปเองแต่ๆ
สุดท้ายรอบที่สองตอนที่เลขาคนนั้นเดินเข้ามาเติมน้ำชา แววตาของเธอแสดงออกชัดเจนขึ้น มู่เทียนเย่แอบสังเกตเย่ฉ่าวเฉินอย่างเงียบๆ เขาจดจ่ออยู่กับแฟ้มเอกสารหนาๆเล่มหนึ่งโดยไม่ได้สนใจทางนี้เลย
เมื่อเขารู้เรื่องนี้ก็ไม่พอใจมาก เขาเป็นผู้ชาย แน่นอนว่าต้องเข้าใจนิสัยผู้ชายด้วยกันเองเป็นอย่างดี อีกทั้งเลขาคนนี้ยังกล้าเปิดเผยขนาดนี้อีก กล้ามองเย่ฉ่าวเฉินด้วยสายตาแบบนี้ต่อหน้าผู้คนมากมาย ไม่แน่ระหว่างเธอกับเย่ฉ่าวเฉินอาจจะมีอะไรกันแล้วก็ได้
พอคิดแบบนี้ มู่เทียนเย่ก็รู้สึกสงสัยและไม่อยากรอเขาไปเล่นสนุ๊กเกอร์แล้ว เลยพูดว่า " ฉันไปก่อนนะ " จากนั้นเย่ฉ่าวเฉินตอบเพียงแค่ " อือ " มู่เทียนเย่ก็ออกจากห้องทำงานของประธานเย่ด้วยความไม่พอใจมาก
ก่อนจะลงลิฟต์ มู่เทียนเย่แวะเข้าห้องน้ำ ตอนที่เขากำลังล้างมือตรงตรงก๊อกน้ำสาธารณะ เขาก็ได้ยินบทสนทนาของคนที่อยู่ด้านนอก
" ประธานเย่ของพวกเรายิ่งอยู่ก็ยิ่งมีเสน่ห์ ฉันหลงใหลในตัวเขามากๆ"
มู่เทียนเย่หยุดนิ่งไปสักพัก นี่มันเลขาที่เติมน้ำชาให้เขาเมื่อกี้นี่
“ ฉันขอเตือนนะว่าให้เธอหยุดความรู้สึกนี้ เลขาหลิวเคยเตือนไว้แล้วว่าอย่าทำตัวเป็นจุดสนใจของประธานเย่ ระวังโดนไล่ออกนะ อีกอย่าง นี่ก็หลายวันแล้ว ประธานเย่เคยบอกหน้าเธอบ้างรึยัง? “ นี่เป็นคำพูดของผู้หญิงอีกคน
เลขาคนสวยพูดอย่างมั่นใจว่า “ วันนี้ยังไม่มอง พรุ่งนี้ก็ต้องมอง ถ้าพรุ่งนี้ยังไม่มองอีกก็ยังมีวันมะรืนและวันข้างหน้าอีกมากมาย ฉันอยู่ใกล้ตัวเขาขนาดนี้ ฉันไม่เชื่อว่าเขาจะไม่มองฉัน”
“ แต่ฉันได้ยินมาว่าประธานเยาเขารักภรรยาเขามาก”
“ เฮ้ มีผู้ชายที่ไหนไม่แอบกิน? ผู้ชายที่ประสบความสำเร็จมากขนาดนี้อย่างประธานเย่ มีผู้หญิงเพิ่มอีกคนแล้วจะเป็นอะไรไป? “ เลขาสาวสวยคนนั้นพูดเสียงเบาลง “ อีกอย่าง ภรรยาของประธานเยาท้องอยู่ไม่ใช่หรอ? ผู้ชายต้องมีความต้องการเป็นธรรมดาอยู่แล้ว ช่วงเวลานี้แหละเหมาะกับการลงมือที่สุดแล้ว รับรองต้องสำเร็จแน่นอน”
ผู้หญิงอีกคนนิ่งเงียบไปสักพัก “ ภรรยาของประธานเย่ท้องจริงหรอ?”
ถ้าไม่มีมูลแมลงวันก็ไม่ตอมหรอก เย่ฉ่าวเฉินต้องมีอะไรแน่ๆ
เย่ฉ่าวเฉินมองไปที่พี่ชายของภรรยาด้วยความโกรธ " มู่เทียนเย่ ฉันยอมนายว่าพี่ชาย แบบนี้โอเคไหม? นายช่วยพูดให้น้อยๆหน่อยได้ไหม? "
มู่เทียนเย่ไม่เห็นด้วยกับสิ่งนี้ " เฮ้ นายมาเรียกฉันว่าพี่ชายตอนนี้เพราะอยากจะให้ฉันช่วยพูดใช่ไหม ถ้าอย่างนั้นตอนนี้คำว่าพี่ชายฉันยังไม่ขอรับไว้ "
เย่ฉ่าวเฉินอยากจะถีบเขาจริงๆ ทำไมเขาต้องไม่อยากให้ตัวเองมีความสุขด้วย?
บรรยากาศค่อยๆอึดอัด แต่สิ่งที่มาทำลายความอึดอัดนี้คือเลขาลินดาที่ถูกลืม
" ประธานเย่? ยังฟังอยู่รึเปล่าคะ? " น้ำเสียงของลินดาอ่อนโยนมา ทำให้คนที่ได้ฟังอยากจะดึงเธอเข้ามาอยู่ในอ้อมกอด " ท่านพอมีเวลารึเปล่า? ฉันอยากคุยกับคุณต่อหน้า ฉันทำอะไรผิดกันแน่ "
เย่ฉ่าวเฉินรำคาญผู้หญิงคนนี้มาก ตะโกนเข้าไปในโทรศัพท์ว่า " แม่เจ้า เธอไสหัวไปยิ่งไกลนิ่งดี ถ้ามาปรากฏตัวต่อหน้ากู กูตัดขามึงทิ้งแน่ ไสหัวไป! "
พอด่าเสร็จ เย่ฉ่าวเฉินก็ตัดสายทิ้ง บางทีคนทางนั้นอย่างลินดาคงสับสนมึนงงอยู่
กอดขามู่เวยเวยไว้โดยไม่ยอมปล่อยมือ น้ำเสียงของเย่ฉ่าวเฉินอ่อนโยนและน่ารักขึ้นมาทันที " เมียจ๋า ฟ้าดินเป็นพยานว่าฉันซื่อสัตย์มากจริง "
" คุณลืมไปแล้วหรอ? เมื่อกี้ที่พระเจ้าให้เสียงฟ้าผ่าตอบกลับคุณ "มู่เวยเวยพูดประชดประชันเขา
มู่เทียนเย่หัวเราะอีกครั้ง " ฮ่าๆ " โอ้พระเจ้า ตลกมากจริงๆ กลับไปเขาจะเอาเรื่องนี้ไปเล่าให้เสี่ยวซีหร่านฟัง
ถ้าพูดถึงแต่ก่อนเขาเองก็เป็นกังวลไปกับน้องสาวเขาด้วย แต่ว่าวินาทีที่เย่ฉ่าวเฉินคุกเข่าลง เขารู้ทันทีเลยว่า เย่ฉ่าวเฉินรักมู่เวยเวยจริงๆ
กระดูกของใครบางคนแข็งขนาดนั้น ตอนที่ยังเป็นวัยรุ่นผ่านเรื่องเลวร้ายและรุ่นแรงมามากมายแต่เขาก็ยังยืนได้ แต่มาวันนี้ เขายอมคุกเข่าเพื่อให้น้องสาวยกโทษให้ ถ้านี่ไม่ได้เรียกว่าคงวามรัก แล้วอะไรถึงจะเรียกว่ารัก?
สำหรับเวยเวย ยัยนี้ก็รักเย่ฉ่าวเฉินมากเช่นกัน ถ้าไม่อยากนั้นคงไม่วิ่งเสียใจออกมาแบบนี้กับคำพูดไม่กี่คำของเขาหรอก ยังปิดเครื่องและไม่หนีออกมาคนเดียวอีก นี่มันอยากทำให้อีกฝ่ายเป็นห่วงชัดๆ
ตอนนี้ที่ยังเย็นชาอยู่ ก็แค่ทำตามใจของเธอเท่านั้น เธอไม่อยากให้อภัยเย่ฉ่าวเฉินรวดเร็วขนาดนั้น
เขาอยากยืนดูแบบนี้ต่อไป แต่ว่าถ้าเขายังอยู่ที่นี่ ก็จะมีคนกลัวเสียหน้า เพื่อให้ทั้งสองปรับความเข้าใจอย่างเร็วที่สุด มู่เทียนเย่ตัดสินใจเดินออกจากที่นั่น
นอกจากนั้น เขาก็คิดถึงภรรยาที่บ้านมาก
เขาถอนหายใจยาวๆ มู่เทียนเย่ลุกขึ้น และพูดด้วยสีหน้าเคร่งขรึม " พวกนายสองคนค่อยๆคุยกันนะ ฉันมีธุระ ขอตัวก่อน เย่ฉ่าวเฉิน ฉันขอเตือนนะ ถ้าครั้งหน้านายรังแกน้องสาวฉันอีก ฉันไม่เอานายไว้แน่ "
เย่ฉ่าวเฉินอยากให้เขาออกไปให้เร็วที่สุด ช่วยอะไรก็ไม่ได้สักอย่าง ยังเพิ่มความลำบากให้เขาอีก
" ไป ไปเลย......ไปเดี๋ยวนี้เลย " เย่ฉ่าวเฉินทำมือไล่ให้เขาออกไป
มู่เทียนเย่เห็นท่าทีของเย่ฉ่าวเฉินแบบนี้ ก็ก้มลงกระซิบข้างหูมู่เวยเวยว่า " อย่างให้อภัยไอ้ผู้ชายคนนี้ง่ายๆนะ "
เปลือกตามู่เวยเวยกระตุก เห็นพี่ชายขยิบตาให้เธอ และรอยยิ้มที่ไร้เสียงบนใบหน้าพี่ชาย
มู่เทียนเย่เดินออกไป จู่ๆก็ร้องเพลง " ประชาชนของพวกเรา วันนี้ดีใจจริงๆ โอ้โหดีใจจริงๆ......"
ถ้ามันเป็นไปได้ เย่ฉ่าวเฉินอยากจะคว้าหมอนตรงโซฟามาปาใส่หน้าเขามาก
มีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่น มู่เทียนเย่นี่ชำนาญกับเรื่องแบบนี้จริงๆ
พอได้ยินเสียงกระทบของประตู เย่ฉ่าวเฉินถึงได้พูดกับมู่เวยเวยว่า " เมียจ๋า อย่ายืนนาน มาๆๆ นั่งลงก่อน ถึงจะลงโทษฉันแต่ก็อย่าทำให้ตัวเองต้องเหนื่อย "
มู่เวยเวยหัวเราะ " คุณกลัวว่าลูกสาวคุณจะเหนื่อยมากกว่ามั้ง "
" ไม่ใช่ " เย่ฉ่าวเฉินรีบปฏิเสธ " เมียจ๋า ในใจของผมคุณเป็นที่หนึ่งเสมอ ถึงแม้ว่าตอนนี้จะมีผิงอัน และลูกในท้อง แต่ว่าตำแหน่งในใจผมไม่มีวันเปลี่ยนแปลง คนที่ผมรักคือคุณ เพราะคุณผมเลยรักผิงอันและลูกน้อยในท้อง ถ้าหากว่าพวกเขาไม่ใช่ลูกของคุณ ผมก็ไม่มีวันรักเขาหรอก "
คำพูดเหล่านี้เข้าไปถึงส่วนลึกในใจของมู่เวยเวย ไม่รู้ว่าเป็นเพราะฮอร์โมนของคนท้องหรือเปล่า หรือเป็นเพราะอะไร มู่เวยเวยรู้สึกว่าเย่ฉ่าวเฉินไม่ได้ใส่ใจเธอเท่าเมื่อก่อน แต่ความรักที่เขามีต่อผิงอันกลับเพิ่มขึ้นอย่างไม่ลดลงเลย ตอนที่อยู่กับเธอก็เอาแต่พูดคุยกับเด็กในท้อง บทสนทนาของพวกเขานอกจากเรื่องลูกแล้วก็มีเรื่องที่คุยกันน้อยมาก นี่ถือเป็นหนึ่งเหตุผลที่มู่เวยเวยอยากไปทำงานที่บริษัท เธอเกรงว่าเธอจากห่างหายไปจากวงการและสังคมนี้ไปนานเกินไป
เย่ฉ่าวเฉินพอเห็นว่ามู่เวยเวยเงียบไม่พูดอะไร ในใจก็รู้สึกกังวลมาก เขาไม่รู้ว่าเธอคิดอะไรอยู่กันแน่
" เมียจ๋า คุณพูดอะไรหน่อยได้ไหม? "
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: วิวาห์สายฟ้าแลบ กับคุณสามีผู้ลึกลับ
ขอบคุณแอดค่ะ...สนุกค่ะ......
สนุก...