“อยากกินซี่โครงหมูตุ๋นไม่ใช่หรอ วันนี้ว่างพอดี เดี๋ยวฉันทำให้”
ต้วนอีเหยายอมรับว่าเธอใจอ่อน เมื่อเผชิญหน้ากับผู้ชายที่ดีต่อเธออย่างสุดใจ ความรู้สึกผิดจะเอาชนะเหตุผลได้เสมอ
แน่นอนว่าหลังจากที่ไป๋จินอี้ได้ยินสิ่งนี้เธอพูดก็รู้สึกประหลาดใจมาก "จริงหรอ?"
เขาต้องการเข้าไปในชีวิตของต้วนอีเหยามาโดยตลอด แต่เขาไม่มีโอกาส ครั้งนี้เธอริเริ่มเสนอสิ่งนี้ โดยที่เขาไม่คาดคิด
"ไปซื้อของที่ซุปเปอร์มาเก็ตกันเถอะ ที่ฉันไม่มีอะไรเลย"
ไป๋จิ่นอี้จับหัวตัวเองอย่างเขินๆ เขาไม่ใช่คนพิถิพิถันมากนัก เมื่ออยู่คนเดียวก็ส่วนมากออกไปทานอาหารข้างนอก ในตู้เย็นตั้งแต่พ่อกับแม่จากไปก็โล่งมาตลอด
"อืม ไปกันเถอะ" ต้วนอีเหยาไม่คิดว่ามันแปลก ใครสักคนที่จะทำอาหารไม่เป็น อย่างเช่นเธอถ้าให้ไปสอนนักศึกษาเธอเองก็ทำไม่ได้
เมื่อเขาเดินไปที่รถ ไป๋จิ่นอี้ก็มีความยากลำบากในอีกครั้ง ที่จริงรถคันนี้ต้องเอาไปซ่อมที่ร้าน4S แต่ที่ร้านดอกไม้ไม่มีรถโดยสารเขาเลยจำต้องขับมา แต่ตอนนี้เพื่อความปลอดภัยของพวกเขา เรียกแท็กซี่ดีกว่า
มีรถแท็กซี่แล่นมาบนถนน ไป๋จิ่นอี้โบกมือ ก็มีรถมาจอดตรงหน้าพวกเขา
แต่รถคันนั้นไม่ใช่แท็กซี่ หลังจากหยุดได้สักพัก ชายหนุ่มคนหนึ่งก็เดินลงมาพร้อมกับคีบบุหรี่ในปากและมีเหล็กเรียวยาวอยู่ในมือ
หลังจากนั้นวัยรุ่นอีกสองสามคนตามมา จากนั้นลูกพี่ก็เดินวนไปรอบๆไป๋จิ่นอี้และต้วนอีเหยา “แกใช่ไหม.......ที่เป็นครูไป๋อะไรคนนั้น?”
ไป๋จิ่นอี้ขมวดคิ้ว จับมือต้วนจิงเหยามาอยู่หลังเขา "ฉันนามสกุลไป๋"
"หยุดพูดเรื่องไร้สาระ ฉันไม่สนใจว่านามสกุลของแกคือไป๋หรือเฮย" ชายหนุ่มขัดจังหวะเขา "มึงทำให้เสี่ยวเฟิงต้องเสียน้ำตา กูไม่ปล่อยมึงไว้แน่!"
ชายหนุ่มตะโกนเสียงดังออกมา พร้อมกับแกว่งท่อนเหล็กในมือ “ มึงมีอะไรอยากพูดอีกไหม?”
หัวใจของไป๋จิ่นอี้บีบแน่น "พวกแกเป็นใคร?" เขาจำไม่ได้ว่ามีนักเรียนแบบนี้อยู่ในโรงเรียน
ชายหนุ่มหัวเราะเยาะ“ ทำไม? กลัวเหรอ? เสี่ยวเฟิงเป็นผู้หญิงของฉัน แกทำให้เธอร้องไห้ ก็น่าจะรู้แต่แรกแล้วว่าจะเจออะไร!”
ความอดทนของเขาหมดลง เขาถอยกลับไปหนึ่งก้าวและปล่อยให้คนข้างหลังขึ้นไปล้อมไป๋จิ่นอี้และต้วนอีเหยา
ไป๋จิ่นอี้ขมวดคิ้ว จับมือเธอและพูดว่า "เรื่องนี้เป็นความผิดของฉัน มันไม่เกี่ยวกับผู้หญิงที่อยู่ข้างหลังฉัน พวกแกปล่อยเธอไปเถอะ"
เมื่อได้ยินสิ่งที่เขาพูด คนที่กำลังจะลงมือ ทุกคนก็มองไปที่ชายหนุ่มที่อยู่ข้างหลัง ชายหนุ่มก็โบกมือ “กูก็ไม่ใช่คนไม่มีเหตุผล มึงให้ผู้หญิงของมึงเดินออกไปเอง พวกกูจะไม่แตะต้องเธอ”
ไป๋จิ่นอี้หันกลับมาและพูดกับต้วนอีเหยา "อีเหยา เธอออกไปก่อน"
ต้วนอีเหยายิ้มเล็กน้อยและลูบข้อมือของเธอ " ความจริงแล้ว เรื่องนี้ก็เป็นเพราะฉัน เธอไมได้ทำอะไร ฉันจะหนีไปคนเดียวได้ไง?"
หันคอไปรอบๆ ดวงตาเย็นชา “อยากทำอะไรก็รีบทำ อย่ามาเสียเวลา!”
"อีเหยา!" ไป๋จิ่นยี่เรียกชื่อเธอ
"อัยยะ ผู้หญิงคนนี้เจ้าอารมณ์จังวะ ถ้าเป็นแบบนี้ อย่าโทษว่าฉันกลั่นแกล้งผู้หญิงแล้วกัน!"
เขาออกคำสั่งสองคนนั้น “ จัดการ!”
เมื่อได้ยินคำสั่งของเขา ชายหนุ่มก็ไม่ลังเลอีกต่อไป คนที่อยู่ด้านหน้าถือท่อนเหล็กและเล็งไปที่ไป๋จิ่นอี้ พยายามจะฟาดไปที่เขา
ในขณะเดียวกัน ต้วนอีเหยาก็กระโดดออกมาจากด้านหลัง ไป๋จิ่นอี้จับท่อนเหล็กที่ตกลงมา ใช้ขาหลังเตะไปที่ชายหนุ่มจนเขาเซล้มลงกับพื้น
"โอ้ย!"
ชายคนนั้นร้องออกมา ทุกคนกลับมามีสติอีกครั้ง เมื่อเห็นคนที่นอนอยู่บนพื้น ทุกคนแทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง
"แก......แกแกแก นังตัวดี อย่าคิดว่าฉันไม่กล้าทำผู้หญิงนะ!" ชายหนุ่มที่อยู่ด้านหลังรีบออกมา ฟาดท่อนเหล็กเล็งไปที่หัวของต้วนอีเหยา
ต้วนอีเหยาหัวเราะเยาะ ขยับก้าวหลีกเลี่ยงอย่างง่ายดาย เตะเบาๆผู้ชายคนนั้นก็ล้มลงกับพื้น
“ มีใครอีก?” ต้วนอีเหยาลุกขึ้นยืนมองไปรอบๆ ทุกคนอดไม่ได้ที่จะถอยหลัง
เธอหันกลับมาและเดินไปที่ด้านข้างของไป๋จิ่นอี้ ยื่นมือออกไปเพื่อผลักเขาเบาๆ "อะไรกัน? ฉันทำให้ตกใจหรอ?"
ไป๋จิ่นอี้ได้สติขึ้นมาเหมือนความฝันและส่ายหัว "ไม่คิดว่าเธอจะเท่ขนาดนี้"
"เมื่อก่อนฉันเคยฝึกในกองทัพอย่างหนัก ก็เลยแข็งแกร่งกว่าคนธรรมดา"
"อีเหยา!" ไป๋จินยี่เบิกตากว้างและมองไปข้างหลังเธอต้ วนอีเหยาหันไปอย่างช้าๆ ก็เห็นพวกมันอยู่หลังเธอ
ไป๋จินยี่ไม่รู้ว่าพวกมันมาอยู่ตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ ชายหนุ่มที่ได้รับบาดเจ็บกัดฟันและเหวี่ยงท่อนเหล็กในมือออกไป
ไป๋จิ่นอี้หลับตาและกำลังจะรับแรงกระแทก แต่ร่างของเขากลับถูกผลักออกไป เมื่อเขาลืมตาขึ้นเขาก็พบว่าทั้งสองนอนอยู่บนพื้นแล้ว
ต้วนอีเหยาผลักเขาด้วยความโกรธ "ซื่อบื้อหรอ? เห็นท่อนเหล็กฟาดมายังมายืนนิ่งหน้าฉันอีก!"
เมื่อเห็นว่าต้วนอีเหยายังมีชีวิตอยู่ เขาก็ถอนหายใจยาวๆอย่างโล่งอก “เธอไม่เป็นอะไรก็พอแล้ว!”
หัวใจของต้วนอีเหยาอ่อนลง คิ้วที่ขมวดของเธอค่อยๆคลายออก ที่แท้ที่เขายืนนิ่งหน้าเธอเพราะ......
เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยที่ประตูรีบวิ่งมา เมื่อเขาได้ยินการเคลื่อนไหว เมื่อเห็นว่าการลอบโจมตีไม่สำเร็จ ชายคนนั้นก็รีบลากเท้าที่ได้รับบาดเจ็บขึ้นไปบนรถ กลุ่มพี่น้องของเขากลัวมากจึงทิ้งอาวุธและวิ่งตามไป
เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยตรวจสอบและพบไป๋จิ่นอี้และต้วนอีเหยา จึงรีบวิ่งเข้าไปดู “ครูไป๋ เป็นอะไรไหม?”
ไป๋จิ่นอี้โบกมือและกำลังจะพูดมีอาการเจ็บแปลบที่เอวของเขา "แกร๊ก...... "
“ เป็นอะไร?” ต้วนอีเหยามองไปที่เขาอย่างเป็นห่วง เห็นเขามองตัวเองผิดปกติก็เพิ่งสังเกตเห็นว่าเขายังนอนอยู่บนพื้น
เธอรีบลุกขึ้นและยื่นมือออกไปเพื่อดึงไป๋จิ่นอี้ แต่ไป๋จิ่นอี้กลับขมวดคิ้วและปฏิเสธเธอ "ไม่เป็นไร ฉันค่อยๆ......ลุกขึ้นเอง"
"เธอเป็นอะไร?" ต้วนอีเหยาตระหนักว่ามีบางอย่างผิดปกติและนั่งลงมองไปรอบๆตัวเขา
ก็เห็นว่าเขากำลังจับเอวตัวเองอยู่ เธอจึงเม้มริมฝีปากและดึงมือของเขาออกไป ไป๋จินยี่ขมวดคิ้วเป็นรูปเลขแปดแต่ไม่พูดอะไร
“ เอวเคล็ดหรอ?”
ไป๋จิ่นอี้พยักหน้าอย่างยากลำบากใจ "ไม่เป็นไร ไม่ได้ปวดขนาดนั้น"
ต้วนอีเหยาลูบคิ้วของเธอ เธอประมาทเอง เธอตัวใหญ่ขนาดนี้ล้มลงไปทับตัวเขา ไม่แปลกที่เขาจะปวดเอว แถมที่ข้างๆยังมีก้อนหินขนาดใหญ่อีก
ด้วยความช่วยเหลือของเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย ต้วนอีเหยาจึงพาไป๋จิ่นอี้ขึ้นรถแท็กซี่ ในสถานการณ์ของเขาตอนนี้แค่ขยับยังลำบาก อย่าพูดถึงไปซุปเปอร์มาเก็ตเลย ทางที่ดีที่สุดคือไปโรงพยาบาลก่อน
ต้วนอีเหยายืนอยู่ที่ทางเข้าโรงพยาบาลและอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ ในช่วงเวลานี้เธอดูเหมือนจะมีความสัมพันธ์กับโรงพยาบาล มาไม่หยุดเลย
"กลับบ้านแล้ว พักผ่อนให้เพียงพอและอย่าเพิ่งออกกำลังกาย"
หมอเซ็นบันทึกในรายการสองสามใบ เมื่อเขาเงยหน้าขึ้นเขาก็เห็นต้วนอีเหยา "ทำไมเป็นพวกคุณอีกแล้ว?"
ต้วนอีเหยาแตะจมูกด้วยความลำบากใจ แพทย์หญิงคนนี้ไม่ใช่นรีแพทย์หรอ? ทำไมถึงมาอยู่แผนกศัลยกรรมกระดูกได้?
แพทย์หญิงดูเหมือนจะเห็นความคิดของเธอ จึงอธิบายว่า "ฉันเรียนวิชาเอกศัลยกรรมกระดูกมา แน่นอนฉันเรียนสูตินรีเวชมาดีด้วย ครูของฉันออกไปบรรยายเมื่อสองสามวันก่อนและฉันก็เลยมาแทนสองสามวัน "
หลังจากพูดจบ ก็หันไปมองพวกเขาอีกครั้ง "คุณควรใช้ควรยับยั้งชั่งใจก่อนนะช่วงนี้ กลัวว่าจะไปกระทบกับกระดูกของเขา ต้องจำไว้สุขภาพสำคัญกว่า"
ใบหน้าของต้วนอีเหยาแดงและรีบพูดว่า "เราไม่ได้...... "
"ฉันรู้ว่าคู่หนุ่มสาวร้อนรุ่ม แต่จากมุมมองทางการแพทย์ การออกกำลังกายบนเตียงมากเกินไปไม่ดีต่อสุขภาพ"
ในเวลานี้แม้แต่ไป๋จิ่นยี่ก็เริ่มเขิน ก้มศีรษะลงและไม่กล้าพูดเพราะกลัวว่ายิ่งอธิบายยิ่งเข้าใจผิด
ต้วนอีเหยาหายใจไม่ออก ตอนนี้หมอเขาเปิดใจขนาดนี้แล้วหรอ?
เมื่อเห็นว่าพวกเขาไม่ได้พูด แพทย์หญิงก็คิดว่าเธอยอมรับแล้ว "ฉันพูดถูกสินะ วันนี้กลับไปอย่าเพิ่งทำอะไรนะ ถ้าเอวเป็นอะไรมีผลต่อชีวิตตลอดไป"
ก่อนที่คำพูดจะจบ เธอกระพริบตาให้ต้วนอีเหยา เป็นผู้หญิงเหมือนกันทำไมจะไม่รู้ล่ะ? ลำบากชายหนุ่มคนนี้เลย
ต้วนอีเหยาอยากจะทุบกำแพงด้วยหัวของเธอ อะไรคือมีผลตลอดชีวิต เธอไม่เข้าใจเลย!
หลังจากออกมาจากโรงพยาบาล ต้วนอีเหยาและไป๋จิ่นอี้รู้สึกอายอย่างอธิบายไม่ได้ คำแนะนำของแพทย์หญิงตอนนี้ดูเหมือนจะวนเวียนในหูพวกเขา: เรื่องนั้นทำอาทิตย์ละสองสามครั้งพอ เยอะไปไม่ดีต่อร่างกาย น้อยไปพวกเธอก็อดใจไม่ได้
ทั้งสองไม่กล้ามองหน้ากัน แต่ไป๋จิ่นอี้ต้องการคนช่วยโอบเอว ต้วนอีเหยายื่นมือออกไปเพื่อช่วย แต่เมื่อเธอสัมผัสตัวเขา เขาก็หดตัวทันที
"เออ......เออคือ.....เธอกลับไปพักผ่อนก่อน ฉันจะซื้อของมาทำมื้อเย็นให้ เติมพลังให้ร่างกาย" ต้วนอีเหยาพูดฮ่าฮ่าเพื่อกลบเกลือนความเขิน
แต่การเติมเต็มประโยคนี้ของเธอ ทำให้คนอื่นจินตนาการไปไกล ไป๋จินอี้หน้าแดงเหมือนไฟและเสียงของเธอก็แผ่วเบาราวกับยุง “ ไม่เป็นไร เราออกไปกินข้างนอกกันเถอะ”
ต้วนอีเหยาขมวดคิ้ว “ดูสภาพของเธอตอนนี้ อย่าหาทำดีกว่า”
“ งั้น......ฝากด้วยนะ”
บทสนทนาระหว่างทั้งสองตกอยู่ในความเงียบอีกครั้ง โชคดีที่แท็กซี่มาถึงพอดี ต้วนอีเหยาไปส่งเขาที่ชั้นบน ถามผู้อยู่อาศัยในบริเวณใกล้เคียงและไปที่ตลาดผัก เพื่อซื้อผักและผลไม้
กลับไปที่บ้าของไป๋จิ่นอี้ เขากำลังนอนอ่านหนังสืออยู่บนเตียง ต้วนอีเหยาทักทายเขาและเดินกลับไปที่ห้องครัว
เธอเปิดตู้เย็นและพบว่ามันว่างเปล่าจริงๆ มีเพียงน่ำแร่อยู่สองขวด เธอถอนหายใจหยิบของออกมาจากถุงทีละอย่างทีละอย่างและจัดเรียงไว้ในตู้เย็น
เมื่อหันไปรอบๆ เครื่องใช้ในครัวก็ถูกวางอย่างเรียบร้อย เธอยืนคิดอยู่พักหนึ่งและเริ่มจัดการกับซี่โครงอย่างรวดเร็ว
"ดิงดอง..."
เพิ่งเปิดเตาขึ้นเสียงออดก็ดังพอดี ต้วนอีเหยารีบเช็ดมือของเธอบนผ้ากันเปื้อนแล้ววิ่งไปเปิดประตู
"สวัสดี……"
ทันทีที่ต้วนอีเหยาเปิดประตู ชายวัยกลางคนหนึ่งกำลังยืนอยู่ที่ประตูเห็นได้ชัดว่าเขาผงะเมื่อเห็นต้วนอีเหยา เขาเหลือบมองไปที่บ้านเลขที่อีกครั้ง เขาพึมพำ “ไม่ได้มาผิดนิ!”
"สวัสดี ไม่ทราบว่ามาหาใครคะ?" ต้วนอีเหยาถือตะหลิว เห็นชายคนนั้นก้าวถอยหลังและรีบตอบ
"ฉันมาหาไป๋จิง"
ภายใต้การจ้องมองที่คาดหวังของต้วนอีเหยา ไป๋จิ่นอี้ยกนิ้วให้เธอ
ต้วนอีเหยายิ้มอย่างพอใจ "มีซุปอีกอย่าง ฉันจะไปตักมาให้"
เมื่อเธอออกมา มือทั้งสองข้างก็เต็มไปด้วยจาน มือซ้ายไข่คนกับมะเขือเทศและทางขวาเป็นซุปใส
"เวลามีจำกัด มื้อเย็นก็เลยจะประมาณนี้"
ต้วนอีเหยารีบวางจานในมือเธอลง และเป่ามือของเธอสองสามครั้ง อาหารในจานยังร้อนอยู่ เมื่อเธอวางมันลงมือทั้งสองข้างของเธอก็แดงและบวม
ไป๋จินยี่อดไม่ได้ที่จะลุกขึ้น มองไปเธอเมื่อเห็นนิ้วของเธอเดือดปุด น้ำเสียงของเขาเริ่มหนักขึ้นเล็กน้อย “ ถ้าเอามารอบเดียวไม่ได้ ก็แบ่งมาสองรอบสิ เราไม่ได้รีบขนาดนั้นซะหน่อย”
ต้วนอีเหยาแลบลิ้นออกมาและยิ้ม "ก็อยากยกมารอบเดียวให้จบนี่หนา"
ไป๋จินยี่ถอนหายใจ แต่เขาช่วยอะไรเธอไม่ได้ ดังนั้นเธอจึงต้องหายาทาเอง
"ไม่ต้องหรอก ฉันมาที่นี่เพื่อช่วยเธอ แต่ทำไมเหมือนยิ่งยุ่ง?"
ต้วนอีเหยายื่นมือออกไปตรงหน้าเขา เห็นไป๋จิ่นอี้ไม่ขยับ เธอจึงถามออกไป“ ยาอยู่ไหน? ฉันจะไปเอาเอง”
“ อยู่ในลิ้นชักห้องฉัน น่าจะมียาสำหรับลวก” ไป๋จิ่นอี้นึกถึงตอนที่ไปเรียนวิธีการทำอาหารให้ต้วนอีเหยา ตอนนั้นก็ได้รับบาดเจ็บมาไม่น้อย แต่ก็ยังทำไม่เป็นสักอย่าง
ประตูห้องนอนเปิดออก ต้วนอีเหยาเดินตรงเข้ามาที่ประตูและพูดว่า "เธอนั่งรอก่อน แผลของฉันเดี๋ยวฉันจัดการเอง!"
ไป๋จิ้นอี้พยักหน้า และนั่งลงบนโซฟาด้านหลัง มองไปที่คำเชิญงานแต่งงานและหยิบมันออกมาดูอย่างเบื่อหน่าย
“ เย่จิงเหยียน?”
เขามักรู้สึกว่าชื่อนั้นคุ้นหูอย่างอธิบายไม่ได้ ราวกับว่าเขาเคยเห็นมันที่ไหนสักแห่ง แต่หลังจากคิดถึงมันเขาก็จำไม่ได้
ใช่สิ เขาไม่เคยเจอลูกสาวของลุงต้วน จะไปรู้จักชื่อลูกเขยเขาได้ยังไง ส่ายหัวแล้วปิดบัตรเชิญ
"ทำไมไม่กิน?" ต้วนอีเหยาขมวดคิ้ว เมื่อเธอเงยหน้าขึ้นและเห็นไป๋จิ่นอี้ยังนั่งอยู่บนเก้าอี้
ไป๋จิ่นอี้มองเธอและพูดว่า “กินคนเดียวจะไปอร่อยได้ไง รอกินพร้อมเธอดีกว่า”
จับนิ้วของตัวเอง ต้วนอีเหยารู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเอง แต่ไม่แสดงออก เมื่อสายตาเหลือบไปเห็นบัตรเชิญที่อยู่ข้างๆเขา อดไม่ได้ที่จะถาม "คนเมื่อกี้เป็น.......?"
"เป็นลูกศิษย์ของพ่อฉัน เวลามีเทศกาลอะไรก็ชอบส่งของมาให้"
ต้วนอีเหยาเคารพพ่อของเขาที่ไม่ได้พบกันมากขึ้น เขาต้องเป็นครูที่ยอดเยี่ยม ไม่เช่นนั้นนักเรียนจะยังจำเขาได้อย่างไรในวัยนี้
หลังจากที่เธอพูดขึ้น ไป๋จิ่นยี่ก็จำชื่อนี้ไว้ในความคิดของเขาและจิตใจของเขาก็สว่างวาบขึ้นมา คนนั้นคือคนที่ขับรถชนเขาวันนี้ไม่ใช่หรอ? เขายังมีนามบัตรอยู่!
"หัวเราะอะไร?" ต้วนอีเหยาจ้องไปที่ไป๋จิ่นอี้อย่างสงสัย เธอไม่เล่าเรื่องตลกอะไรนิ?
ไป๋จิ่นอี้ส่ายหัว "ไม่มีอะไร ฉันแค่คิดว่าโลกนี้มันกลมจริงๆ"
ทันใดนั้นก็พูดประโยคดังกล่าว ต้วนอีเหยารู้สึกสับสนเล็กน้อย กลมไปคืออะไร? กำลังพูดถึงที่พวกเขามาเจอกันหรอ?
"ไม่มีอะไรหรอก กินข้าวกันเถอะ!"
......
ในคฤหาสน์ตระกูลเย่
เย่จิงเหยียนนั่งอยู่บนโซฟาและดูข่าวการเงินล่าสุด ไม่ว่าเย่ชวูเสวียจะพูดอะไร เขาก็ไม่สนใจ
“ พี่ พี่คิดดีแล้วจริงไหรอ? นี่คือความสุขทั้งชีวิตเลยนะ!” เย่ชวูเสวียอดทนไม่ได้และตะโกนใส่หูของเย่จิงเหยียน
เย่จิงเหยียนหันศีรษะไปอีกครั้ง เพื่อหลีกเลี่ยงการทิ้งระเบิดของเธอ แต่เย่ชวูเสวียก็ไม่ยอมแพ้ง่ายฟ เธอซ่อนตัวอยู่บนโซฟาและมองไปที่เขา
“ ถ้าพี่อีเหยายังมีชีวิตอยู่ พี่คงไม่ทำแบบนี้หรอก พี่ต้องแยกให้ออกว่านี่คือต้วนจื่ออิ๋ง ไม่ใช่พี่อีเหยา!”
ในที่สุดเย่จิงเหยียนก็มีปฏิกิริยา "แกอยากให้ฉันลืมเธอมาตลอดไม่ใช่หรอ แต่ทำไมมาพูดถึงอยู่ได้?"
“ฉันแค่กลัวว่าพี่จะพลุนพลัน พี่ทำแบบนี้ไม่มีความสุขหรอก จลต้วนจื่ออิ๋งเองก็เหมือนกัน ”
"พอเถอะ ดูแลตัวเองให้ดีก่อน ฉะนจะมีความสุขหรือไม่มีฉันตัดสินใจเอง" เย่จิงเหยียนปิดหนังสือพิมพ์และลุกขึ้น เดินเข้าไปในห้องนอนของเขา
"เฮ้อ......" เย่ชวูเสวียก็ลุกขึ้นเช่นกัน ถูกประตูห้องปิดใส่"ปั๊ง" ประตูห้องนอนก็ถูกล็อคจากด้านใน
เย่ชวูเสวียกระทืบเท้าของเธอด้วยความโกรธ “งั้นก็ไม่สนละ ถ้าเสียใจทีหลังมาฉันก็ช่วยอะไรไม่ได้นะ!"
เธอหยุดฟังการเคลื่อนไหวสักพัก ไม่ได้ยินว่าเขาตอบตัวเอง "เฮ้อ" ถอนหายใจออกมาแล้วเดินจากไป
เย่จิงเหยียนนอนอยู่บนเตียง แต่ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความเจ็บปวด เสียใจทีหลัง? จะเป็นไปได้อย่างไง นอกจาก……
นอกจากอีเหยาจะฟื้นขึ้นมา!
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: วิวาห์สายฟ้าแลบ กับคุณสามีผู้ลึกลับ
ขอบคุณแอดค่ะ...สนุกค่ะ......
สนุก...