วิวาห์สายฟ้าแลบ กับคุณสามีผู้ลึกลับ นิยาย บท 405

มันน่าตกใจจนเขาจำต้องเชื่อในพรหมลิขิต…..

“จริงๆนะ ฉันไม่เคยโกหกมาก่อน สายตาที่เจ้าของร้านมองคุณมันคือชอบจริงๆ” พนักงานเห็นสายตาไม่อยากจะเชื่อของหนานกงเจาจึงรีบอธิบาย

สมองของหนานกงเจาสับสนไปหมด แม้พนักงานจะพูดอยู่ข้างหูเขา เขาก็ฟังไม่เข้าหูเลย

เพราะสมองเขาเอาแต่สะท้อนประโยคนั้นว่า ชูวเสวี่ยชอบเขา ที่แท้ชูวเสวี่ยก็ชอบเขา

เขานึกถึงอุบัติเหตุรถยนต์วันนั้น เธอสารภาพรักกับเขาจริงๆ แต่เขาคิดไม่ถึงว่าเธอจะชอบเขามานานแล้ว

พวกเขารักกันทำไมต้องแยกจากกัน นี่ทำให้เขาที่ตั้งใจจะยอมแพ้เริ่มไม่เต็มใจขึ้นมาเรื่อยๆ ราวกับลูกไฟเล็กๆค่อยค่อยลุกโชนกระหน่ำขึ้นมาในใจของเขา

.....

เย่จิงเหยียนอยู่ในห้องของเย่ชูวเสวี่ยอีกพักหนึ่ง เมื่อเห็นว่าเย่ฉ่าวเฉินและมู่เวยเวยยืนยันจะไม่กลับ เขาจึงกลับไปห้องต้วนอีเหยา

ตอนที่เขากลับไปก็ดึกมากแล้ว ต้วนอีเหยานั่งอยู่บนเตียงคนเดียว เธอจ้องมองไปข้างนอกหน้าต่างเหม่อ ไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่

เย่จิงเหยียนตั้งใจเดินเสียงดัง เมื่อเดินไปได้ครึ่งทางก็ดึงดูดความสนใจของต้วนอีเหยามาได้ เมื่อเธอหันกลับมา สติของเธอก็ค่อยๆกลับมาด้วย

“ชูวเสวี่ยเป็นยังไงบ้าง” ต้วนอีเหยาจำได้ว่าที่เย่จิงเหยียนออกไปก็เพราะเรื่องของน้องสาวที่เกิดอุบัติเหตุรถยนต์ เธอรู้ว่าถ้าไม่ใช่เรื่องใหญ่ เย่ฉ่าวเฉินกับมู่เวยเวยไม่มีทางให้เขาไปแน่

เย่จิงเหยียนถอนหายใจออกมา “บอกว่าพ้นขีดอันตรายแล้ว แตกไข้ก็ยังขึ้นสูงไม่หยุด..”

จะบอกว่าไม่เป็นห่วงเลยก็โกหกเสียมากกว่า แต่เขาก็ไม่ใช่หมอดังนั้นจึงต้องกังวลต่อไป

เมื่อต้วนอีเหยาได้ยินคำพูดของเขา ใจของเธอก็รู้สึกร้อนรนขึ้นมา “งั้นคุณมาทำไม ทำไมไม่ไปดูแลที่นู่น ถ้าเกิด….”

ต้วนอีเหยาไม่กล้าพูดต่อไป ทำไมช่วงนี้มักเกิดเรื่องอยู่บ่อยๆ เรื่องแล้วเรื่องเล่าจนเธอตั้งตัวแทบไม่ทัน

เย่จิงเหยียนพยักหน้า “พ่อกับแม่รออยู่ที่นู่นแล้ว คนเยอะเกินไปจะแย่กว่าเดิม ผมเลยมาดูแลคุณ”

ต้วนอีเหยาตะลึง “ฉันไม่เป็นไรแล้ว”

ท้องของเธอไม่ได้ปวดขนาดนั้นแล้ว และหูของเธอถึงแม้ว่าจะมีบางครั้งที่ฟังไม่ชัด แต่ก็ไม่ได้ร้ายแรงขนาดนั้น เธอสามารถคุยกับคนได้ปกติแล้ว

เย่จิงเหยียนพยักหน้า และเดินเข้าไปกอดเธอ ความอบอุ่นจากร่างกายของเธอทำให้เขาสบายใจ

“อย่าขยับ” เมื่อเห็นว่าผู้หญิงในอ้อมกอดกำลังดิ้น เขาจึงพูดห้ามเธอ “ให้ผมกอดสักพัก”

ต้วนอีเหยาได้ยินเขาพูดก็ไม่กล้าขัดขืนอีก เธอปล่อยให้เขากอดได้ตามใจ

เขาไม่เคยอ่อนแอต่อหน้าเธอมาก่อน ใจของเธอรู้สึกราวกับมีมีดกรีดแทงจนเลือดไหลออกมา

ก่อนหน้านี้ไม่นานเขาก็เสียลูกไป และหลังจากนั้นภรรยาของเขาก็เสี่ยงพิการ ตอนนี้น้องสาวของเขาดันมาเกิดอุบัติเหตุรถยนต์ อาการเป็นตายเท่ากัน

.....

หลังจากทุกข์ทรมานมาสามวัน ในที่สุดมู่เวยเวยก็ทนต่อไปไม่ไหว เธอไม่ได้นอนมาหลายคืน แถมยังกินข้าวไม่ลง ทำให้ทันทีที่เธอยืนขึ้น ตาของเธอก็พร่ามัว และเป็นลมลงไปทันทีบนพื้น

เย่ฉ่าวเฉินถือน้ำล้างหน้าเข้ามา เมื่อเห็นเธอสลบอยู่บนพื้น เขาก็ทิ้งทุกอย่างในมือและวิ่งไปกอดมู่เวยเวย

“หมอ หมอ”

เย่ฉ่าวเฉินกอดมู่เวยเวย และตะโกนเรียกเสียงดัง ครู่เดียวก็มีคนได้ยินและเปิดประตูเข้ามา

“เกิดอะไรขึ้น”

เย่ฉ่าวเฉินรีบมองไปที่คนในอ้อมแขน “ตรวจหน่อยว่าเธอเป็นอะไร”

คนวัยกลางคนและเหนื่อยมากขนาดนี้ หมอคุ้นชินกับเรื่องนี้ดี เขาพยักหน้าไปอีกทาง “อุ้มเธอไปห้องนั้น”

เย่ฉ่าวเฉินลังเลอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายก็อุ้มเธอเข้าไป เขาวางมู่เวยเวยไว้บนเตียง และรอหมอเอาอุปกรณ์เข้ามา

หมอตรวจสอบตัวมู่เวยเวยเล็กน้อย ก่อนจะเจาะเลือดเธอออกมา “รอสิบนาทีผลตรวจก็ออกมาแล้วครับ คุณรอสักครู่”

แต่ตอนนี้เขาจะรอได้ยังไง ในห้องไม่มีคนอยู่เลย ถ้าเธอตื่นขึ้นมาในช่วงเวลานี้จะทำยังไง

แถมตอนนี้มู่เวยเวยก็เป็นลมอยู่ จึงทำให้เขาไม่สามารถแยกตัวออกไปได้ เย่ฉ่าวเฉินอยู่ระหว่างทางเลือกสองทาง ความรู้สึกเรากับตอนที่แม่กับภรรยาตกลงไปในน้ำแล้วเขาจะเลือกช่วยใคร

สุดท้ายเขาก็เลือกมู่เวยเวย และก็โทรหาเย่จิงเหยียน แต่เขากลับปิดโทรศัพท์

เย่ฉ่าวเฉินวางโทรศัพท์ด้วยจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว แต่พอคิดดูอีกที ก็แค่สิบยี่สิบนาทีไม่ใช่หรอ ไม่น่าจะเกิดอะไรขึ้นหรอก....

เมื่อคิดได้อย่างนั้นเขาก็รอผลตรวจของหมออย่างสงบ

......

หนานกงเจายังไม่ทันได้ดื่มกาแฟหมดเขาก็วางธนบัตรหลายใบไว้บนโต๊ะ จากนั้นก็รีบเดินทางไปโรงพยาบาล เขารีบวิ่งไปห้องผู้ป่วยของเย่ชูวเสวี่ยตามความทรงจำของเขา

ทันทีที่เขาเปิดประตูเข้าไป เขาก็เตรียมที่จะปะทะสายตากับเย่ฉ่าวเฉินและมู่เวยเวยแล้ว แต่เมื่อเขากวาดสายตาไปทั่วห้อง ก็ไม่เห็นเงาของคนทั้งสองคนเลย

เขารู้สึกแปลกใจ แต่ก็รู้สึกสบายใจด้วย เขาไม่อยากทะเลาะกับใครในเวลานี้ ไม่อยาก รบกวนการพักผ่อนของเย่ชูวเสวี่ย

เขาเดินเข้าไปใกล้เย่ชูวเสวี่ยที่หลับตาอย่างสงบอยู่ ขนตาของเธอปลิวไปตามแรงลม เขายื่นมือออกไปเอาผมทัดไว้ที่ข้างหูให้เธอ

หนานกงเจานั่งอยู่บนเก้าอี้มองเธอเงียบๆ นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาได้ อยู่ด้วยกันโดยไม่มีการทะเลาะ ได้ใช้อากาศร่วมกันอย่างสงบ

สมัยก่อนเย่ชูวเสวี่ยมักจะมีท่าทีก้าวร้าว ไม่เกรงกลัวฟ้าดิน เอาแต่ชี้หน้าด่าเขาทุกครั้ง ทำให้เขารู้สึกโกรธจนทำอะไรไม่ถูก

เย่ฉ่าวเฉินพยักหน้า เมื่อเดินไปถึงหน้าประตูก็หันมามองหนานกงเจาอีกครั้ง ด้วยสายตาไม่วางใจเหมือนเดิม ก่อนสุดท้ายจะหันเดินออกไป

ตอนนี้ในห้องเหลือแค่มู่เวยเวย เย่ชูวเสวี่ย และหนานกงเจา มู่เวยเวยปล่อยมือเย่ชูวเสวี่ย และพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ไม่ต้องแกล้งแล้ว นึกว่าดูไม่ออกหรอ”

รู้อยู่แล้วว่ามีอาการอ่อนเพลีย แต่ก็ต้องไม่ใช่เปลี่ยนไปเร็วขนาดนี้ เมื่อกี้ทั้งสองยังอยู่ด้วยกันอยู่เลย แต่พอพวกเขาเข้ามา เย่ชูวเสวี่ยก็ดูอ่อนแรงไปทันที คิดว่าเธอดูโง่หรือว่าไร้เดียงสานักหรือไง

“แม่…” เย่ชูวเสวี่ยพูด “แม่ฉลาดที่สุด”

“ไม่ต้องมาออเซาะ พ่อของหนูดูออกตั้งนานแล้ว แต่แค่ไม่อยากพูด คิดว่าตัวเองจะปิดบังได้หรือไง”

“งั้นแล้วทำไมไม่พูดล่ะ” เย่ชูวเสวี่ยรู้สึกไม่พอใจ เธอคิดว่าตัวเองแสดงได้ดีจนได้รางวัลออสการ์ซะอีก

ที่แท้เรื่องนี้ก็เป็นความคิดของเธอเพียงแค่คนเดียว

มู่เวยเวยยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจ “อยากแสดงก็แสดงสิ พอโดนจับได้ก็ไม่สนุกแล้วหรอ”

เย่ชูวเสวี่ยเบะปาก พวกเขามันตัวท็อป เธอยังไม่สามารถต่อกรกับพวกเขาได้

“แล้วก็นาย…” ทันใดนั้นมู่เวยเวยก็ตวัดสายตาไปมองหนานกงเจา พร้อมมองขึ้นลงอย่างพิจารณา

“ล่อลวงลูกฉันยังทำตัวไม่รู้สึกรู้สาอีก ไม่ละอายใจบ้างหรอ”

“แม่….” เย่ชูวเสวี่ยอาย ล่อลวงอะไรกัน เธอไม่ได้โง่ขนาดนั้นสักหน่อย

และพวกเขาก็มาไม่ถูกเวลาเองมากกว่า ที่แท้เธอต่างหากที่เป็นคนไปล่อลวงเขาก่อน ถ้าพวกเขาได้เห็นความกล้าหารของเธอ ต้องไม่พูดอย่างนี้แน่

มู่เวยเวยพูดโดยไม่หันไปมอง “อย่าสร้างปัญหา เดี๋ยวจะมาคิดบัญชีทีหลัง”

หนานกงเจารู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย เมื่อเทียบกับความรุนแรงในครั้งก่อนแล้ว ครั้งนี้ดูผ่อนคลายลงมากราวกับกำลังถามเขาว่าวันนี้อากาศเป็นยังไงบ้าง

เมื่อเทียบกับครั้งก่อนก่อนครั้งนี้เขาเอาเปรียบเย่ชูวเสวี่ย แต่ทำไมท่าทางถึงดีขึ้นมา ราวกับกำลังทดสอบเขาอยู่

เมื่อนึกได้ถึงเรื่องนี้หนานกงเจาก็ไม่กล้าละเลย เขารีบตอบมู่เวยเวยกลับไป “คุณป้า ผมจะดูแลเย่ชูวเสวี่ยให้ดี ครั้งนี้ผมเอาเปรียบเธอแล้ว ผมจะรับผิดชอบเธอเอง ผมจะไม่ทำให้เธอต้องเสียใจ”

มู่เวยเวยไม่ได้แสดงสีหน้าอะไรออกมา เพียงแค่ถามต่อว่า “ฉันยังไม่ได้ตกลง ทำไมถึงคิดว่าฉันจะยก ชูวเสวี่ยให้นาย”

ประโยคนี้รุนแรงมาก ขนาดเย่ชูวเสวี่ยที่นอนอยู่บนเตียงยังนอนแทบไม่ลง ในขณะที่เธอกำลังจะลุกขึ้นมานั้น ก็ถูกมู่เวยเวยกดตัวไว้ “นอนลงดีๆ อย่าก่อเรื่อง”

“ไม่ใช่ แต่ว่าทำไมฟังคำพูดของแม่แล้ว ทำอย่างกับจะขายหนู”

ในที่สุดครั้งนี้มู่เวยเวยก็มองเย่ชูวเสวี่ย “ทีนี้ฉลาดขึ้นมาแล้วหรอ ถ้าครั้งนี้เขาสามารถจ่ายราคาในใจแม่ได้ ทั้งสองคนก็จะไม่มีอุปสรรคอีกแล้ว”

“ไม่ใช่มั้ง หนูเป็นลูกแม่นะ ทำไมแม่ถึงทน….” เย่ชูวเสวี่ยนอนอยู่บนเตียงด้วยสีหน้าตื่นตะลึง ก่อนจะมองหนานกงเจาที่ยิ้มออกมาหน้าบาน

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: วิวาห์สายฟ้าแลบ กับคุณสามีผู้ลึกลับ