“ปั๋วเหยี่ยน เจ้าก็คิดเช่นนั้นเหมือนกันหรือ?”
ในขณะนี้ จู่ๆ ผู้อาวุโสเหวินซีก็ได้ปรากฏตัวขึ้นมา เขาหัวเราะในลำคอและกล่าวแนะนำด้วยความภาคภูมิใจ
“เจ้าเด็กคนนั้น…ข้าเป็นคนหามาเองแหละ!”
“ข้าเห็นเขาเมื่อไม่กี่วันก่อน แล้วรู้สึกว่าพรสวรรค์ของเขาช่างน่าอัศจรรย์นัก อีกทั้งยังว่านอนสอนง่าย ในอนาคตเขาจะต้องประสบความสำเร็จมากมายแน่นอน! เป็นอย่างใดเล่า? สายตาข้าช่างเฉียบคมล่ะสิ!? เฮ้อ…แต่เสียดายอยู่อย่าง เจ้าเด็กคนนี้ไปฝึกตนด้านเซียนหมอเสียแล้ว! ถ้าหากเป็นจอมยุทธ์ล่ะก็…จิ๊…”
ผู้อาวุโสเหวินซีทั้งดีใจและเสียดาย
ที่เขาดีใจก็เพราะ เขาเป็นคนนำพาศิษย์คนใหม่ที่โดดเด่นเช่นนี้มาด้วยตัวเอง
ส่วนที่น่าเสียดายก็คือ เจ้าเด็กนี่มิได้ฝึกฝนกับเขา แถมไอ้แก่วั่นเจิงนั่นยังได้หน้าไปโดยไม่ลงแรงลงมืออันใดเลย!
“หึ! จากนี้วั่นเจิงได้ติดหนี้บุญคุณข้าครั้งใหญ่แล้ว!”
ผู้อาวุโสเหวินซีกล่าวอย่างมั่นใจ
หรงซิวมองเขาอย่างมีชั้นเชิง
อืม…
เริ่มไม่แน่ใจว่าใครจะติดหนี้ใครกันแน่…
“ฝั่งเจ้าเองก็ได้ศิษย์มาสองสามคนเลยมิใช่หรือ และเหมือนว่าหนึ่งในนั้นจะเป็นทายาทโดยตรงของตระกูลหลัวแห่งทะเลทรายพิลาปด้วย ใช่หรือไม่?”
ผู้อาวุโสปั๋วเหยี่ยนยิ้มเยาะเบาๆ
“แค่นี้ยังไม่พออีกหรือ?”
ผู้อาวุโสเหวินซีกระแอมเบาๆ
“เรื่องนั้นมัน มิใช่ว่า…ยิ่งมากยิ่งดีหรอกหรือ!”
หรงซิวมองลงไปข้างล่างอีกครั้ง ก่อนจะค่อยๆ กล่าวอำลาทุกคน
“ผู้อาวุโสปั๋วเหยี่ยน เรื่องที่ได้คุยกันก่อนหน้านี้ ข้าจะต้องกลับไปเตรียมการก่อน จึงมิอาจอยู่ที่นี่นานได้”
ผู้อาวุโสแต่ละท่านมิได้รู้สึกแปลกใจกับการจากลาของหรงซิว
อันที่จริงแล้ว โอกาสที่เขาจะยอมมาปรากฏตัวที่สนามแห่งนี้นั้นยากมาก
ไหนจะเพิ่งประลองกับยินชูหลี่แล้วด้วย
“ตกลง ข้าจะส่งคนไป…”
“ขอบคุณท่านผู้อาวุโสปั๋วเหยี่ยนที่ได้กรุณา แต่สิ่งเหล่านั้นยังไม่จำเป็นขอรับ”
หรงซิวยิ้มเล็กน้อย
“แม้จะไม่ได้กลับมาหลายปีแล้ว แต่ศิษย์ยังคุ้นเคยกับสำนักเป็นอย่างดี”
เป็นเรื่องยากที่ผู้อาวุโสปั๋วเหยี่ยนจะได้ยินแทนตัวเองเช่นนั้น เขารู้สึกใจหายอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะพยักหน้าตอบเบาๆ
“ก็ได้…เช่นนั้น…เจ้าก็ทำในสิ่งที่เจ้าเห็นควรเถอะ”
…
หรงซิวจากไปอย่างรวดเร็ว
เมื่อฝูงชนเห็นร่างของเขาค่อยๆ เลือนหายไป ก็ต่างแสดงท่าทีผิดหวังออกมา
แต่พวกเขาต่างก็รู้อยู่แล้วว่า ในขณะนี้หรงซิวไม่ได้อาศัยอยู่ในสำนักวิชาแห่งนี้แล้ว การได้พบกันสักครั้งนั้นมิใช่เรื่องง่ายเลย ดังนั้นพวกเขาจึงไม่กล้าเรียกร้องอันใดมากนัก
เมื่อหรงซิวจากไปได้ไม่นานนัก เว่ยซีผิงและคนอื่นๆ ก็ค่อยๆ ทยอยจากไปเช่นกัน
จนในที่สุดบนหอระฆังบูรพกษัตริย์ ก็เหลือเพียงเหล่าบรรดาผู้อาวุโสเท่านั้น
และการแข่งขันในจัตุรัสชิงหมิงนั้นยังคงดำเนินต่อไปอย่างคึกคัก
…
ในขณะที่การแข่งขันดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง การจัดอันดับในงานประลองชิงอวิ๋นนั้นก็ได้มีการเปลี่ยนแปลงอยู่เรื่อยๆ
ยิ่งอันดับในรายการประลองสูงขึ้นเท่าไร การประชันยิ่งดุเดือดมากเท่านั้น
ทุกคนล้วนเป็นยอดฝีมือจากทั่วทุกสารทิศ หากไม่นับยอดฝีมือบางคนที่เก่งกาจดั่งปีศาจล่ะก็ ความจริงแล้วพรสวรรค์ของผู้คนส่วนใหญ่ก็มิได้ต่างกันมากนัก
ในสถานการณ์เช่นนี้ การต่อสู้ระหว่างผู้แข็งแกร่งและผู้อ่อนแอเริ่มดุเดือดมากยิ่งขึ้น
และเมื่อมาถึงตอนนี้ ฉู่หลิวเยว่ก็ได้รู้ว่า ยิ่งอันดับในงานประลองชิงอวิ๋นสูงขึ้นและได้ครองตำแหน่งนั้นนานมากเท่าไร คะแนนสะสมก็จะยิ่งเพิ่มมากขึ้นเท่านั้น
และพวกที่มีชื่ออยู่ในอันดับต้นๆ ยิ่งไม่ต้องพูดถึง
พลันฉุกคิดว่านางกว่าจะได้คะแนนให้ถึงสองหมื่นแต้มนั้นไม่ง่ายเลย อีกทั้งยังถูกหักไปห้าพันในพริบตา
ฉู่หลิวเยว่รู้สึกเจ็บใจเป็นอย่างมาก
หากต้องการเก็บคะแนนสะสม วิธีที่เร็วที่สุดคือการอยู่ในอันดับการประลองชิงอวิ๋น!
แต่กระนั้น แม้แต่ผู้ที่ได้อันดับหนึ่งร้อยในการปะลองเซียนหมอที่นางมั่นใจมากที่สุด ก็ยังเป็นถึงเซียนหมอระดับเก้าขั้นสูงสุด!
ถ้าหากนางต้องการที่จะเอาชนะ อย่างน้อยนางก็ต้องสามารถปรุงแต่งยาอายุุวัฒนะในระดับเดียวกันให้ได้
ฉู่หลิวเยว่รู้สึกปวดหัวขึ้นมาทันที
“ฉู่เยว่ เจ้ากำลังคิดอันใดอยู่?”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยอดหญิงลิขิตสวรรค์
สนุกมากค่ะ...
อ่านสนุกมากค่ะ ติดตามอ่านทุกตอน...