โหมวเหยาพูดอันใดไม่ออก!
แม้ว่าคำพูดนี้ของฉู่หลิวเยว่จะไม่น่าฟัง แต่มันก็เป็นความจริง!
ในเมื่อคนที่ชนะพนันในวันนั้นก็คือนาง กระดูกชิ้นนี้ก็ต้องส่งคืนให้นาง ถ้าเช่นนั้นนางจะจัดการกับของสิ่งนี้อย่างใด ก็ต้องขึ้นอยู่กับตัวนางแล้ว
ต่อให้จะเป็นกระดูกของเผ่าไท่ซวีเฟิ่งหลงของเขา พวกเขาก็ไม่มีคุณสมบัติที่จะยื่นมือเข้าไปยุ่ง
พูดไปพูดมาแล้ว สุดท้ายความผิดทั้งหมดก็ตกอยู่บนศีรษะของเขา!
เสียงกระซิบกระซาบดังขึ้นอยู่โดยรอบ
“ผู้อาวุโสโหมวเหยา ยังจะกล้าลุกขึ้นยืนแล้วพูดเช่นนี้อีก…หากวันนั้นไม่ใช่เพราะท่านไร้ความสามารถมากเกินไป แพ้พนันในครั้งนั้น ตอนนี้พวกเราจะต้องโกรธซั่งกวนเยว่แต่ทำอันใดไม่ได้แบบนี้หรือ?”
“นั่นสิ! เป็นเพราะความผิดของคนผู้นั้น ทำให้กระดูกส่วนนั้นตกอยู่ในมือของผู้อื่น ไม่สามารถเอากลับมาได้…นี่เป็นความผิดอันใหญ่หลวง! แต่จนกระทั่งตอนนี้ผู้อาวุโสโหมวเหยากลับไม่ได้รับโทษทัณฑ์อันใดเลย ไม่รู้จริงๆ ว่าท่านประมุขกำลังคิดอันใดอยู่…”
“เหตุใดถึงไม่มี? เจ้าไม่เห็นงานหมื่นคีรีครั้งนี้หรือ ท่านประมุขไม่ได้ให้ผู้อาวุโสโหมวเหยาเข้าร่วมไม่ใช่หรือ? ต้องบอกก่อนว่างานหมื่นคีรีหลายครั้งก่อนหน้านี้ ผู้อาวุโสโหมวเหยาล้วนมีสถานะสำคัญในงาน…”
“เพียงเท่านี้เองหรือ? หลายปีที่ผ่านมานี้ พวกเราไม่เคยนำกระดูกทิ้งเอาไว้ที่ด้านนอกเผ่า แต่พวกเราก็ไม่มีอำนาจที่จะไปซักถาม หากผู้อาวุโสโหมวเหยาไม่ละเลย พวกเราไม่มีทางที่จะได้รับความไม่เป็นธรรมเช่นนี้แน่…”
“หากข้าเป็นเขา ข้าคงไม่มีหน้ามางานหมื่นคีรีครั้งนี้แล้ว!”
…
เสียงกระซิบกระซาบมากมายกระทบเข้าโสตประสาทของโหมวเหยาอย่างต่อเนื่อง ทำให้ใบหน้าของเขาทั้งขาวทั้งเขียว ย่ำแย่เป็นอย่างมาก แทบอยากจะมุดดินหนีไปโดยตรง!
เขารู้ตั้งแต่แรกแล้วว่าเรื่องนี้จะส่งผลกระทบต่อเขาอย่างร้ายแรง แต่ทุกคนก็ไม่กล้าพูดโดยตรงแน่นอน
แม้กระทั่งประมุขโหมวหยางก็ยังไม่ได้ตำหนิเขาอย่างรุนแรง เพียงแต่กระจายอำนาจในมือของเขาออกไปอย่างไร้เสียง
อีกทั้งยังหยิบกระดูกชิ้นนั้นขึ้นมาต่อหน้าพวกเขาด้วย!
ซึ่งนี่เป็นการเปิดเผยภูมิหลังของเขาต่อหน้าธารกำนัลด้วยไม่ใช่หรือ?
เมื่อคนในเผ่าเห็นกระดูกเหล่านี้ แน่นอนว่าพวกเขาไม่สามารถอดทนอดกลั้นต่อไปได้อีกแล้ว
โหมวเหยาไม่ต้องคิดก็รู้ว่า วันเวลาต่อจากนี้ไปที่อยู่ภายในเผ่าคงไม่ราบรื่นอีกแล้ว!
ถ้าหรงซิวทำอันใดกับกระดูกชิ้นนั้น…
โหมวเหยารู้สึกได้ว่า ตนเองจะต้องกลายเป็นคนบาปของทั้งเผ่าอย่างแน่นอน!
เขาเกือบจะหายใจไม่ออก ร่างกายโงนเงน ใบหน้าซีดขาวเป็นอย่างมาก
ฉู่หลิวเยว่ถามอย่างใส่ใจว่า
“ผู้อาวุโสโหมวเหยา สีหน้าของท่านดูไม่ดีเลย หรือว่าบาดแผลจากการต่อสู้ครั้งที่แล้วยังไม่หายดีหรือ?”
ขณะที่พูด นางก็ขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อย ท่าทางสงสัยบางอย่าง
“ไม่หรอกมั้งเจ้าคะ…ตอนที่ข้าลงมือข้าก็ยั้งแรงไปเหมือนกัน…”
ผู้อาวุโสโหมวเหยารู้สึกแน่นหน้าอกจนเกือบจะกระอักเลือดออกมา
ยั้งแรง?
คำพูดนี้ของนางหมายความว่าอย่างใด?
หรือว่าในตอนนั้น นางลงมือต่อสู้กับเขาอย่างไม่เต็มที่?
เมื่อทุกคนที่อยู่ในจัตุรัสได้ยินดังนั้น พวกเขาก็คิดขึ้นมาเช่นนี้!
“เจ้า เจ้า!”
โหมวเหยารู้สึกโกรธมาก
เห็นได้ชัดว่าซั่งกวนเยว่ตั้งใจพูดแบบนี้!
รอยยิ้มของฉู่หลิวเยว่อ่อนโยนและจริงจัง
ตรงหน้าของโหมวเหยาเป็นสีดำมืด ร่างกายสั่นสะท้านไปทั้งร่าง!
โหมวหยางขมวดคิ้วขึ้นมา
ท่าทางเช่นนี้ของโหมวเหยา มันน่าขายหน้าเกินไปหน่อยแล้ว
หากไม่ใช่เพราะว่าเขามีความเป็นอาวุโส และยังเคยเสียสละแก่เผ่ามาไม่น้อย เพียงแค่เรื่องกระดูกในครั้งนี้ ก็ทำให้เขาต้องรับผิดร้ายแรง
เดิมทีหลังจากผ่านเรื่องเหล่านี้ไปแล้ว โหมวเหยาน่าจะสามารถยับยั้งอารมณ์ของตนเองได้มากขึ้น แต่คิดไม่ถึงเลยว่าเขาจะไม่ได้ดีขึ้นเลย แต่กลับกระสับกระส่ายมากยิ่งขึ้น
โหมวหยางหลุบตาลงต่ำ ปกปิดความเย็นชาในดวงตา
“ประมุขโหมวหยาง ท่านวางใจเถอะ ข้าจะใช้กระดูกชิ้นนี้ซ่อมแซมแผ่นจานหยก และไม่ได้มีเจตนาที่จะทำลายมันเด็ดขาด”
หรงซิวพูดขึ้นพร้อมรอยยิ้มจางๆ
ที่แห่งนี้คือเกาะมังกรศักดิ์สิทธิ์ เขาไม่ได้มาที่นี่เพื่อล่วงเกินเผ่าไท่ซวีเฟิ่งหลง
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยอดหญิงลิขิตสวรรค์
ขอบคุณมากค่ะ สนุกมากกกค่ะ...
สนุกมากค่ะ...
อ่านสนุกมากค่ะ ติดตามอ่านทุกตอน...